เนื่องจากปัจจุบันได้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจหลายประการ เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 มูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางไปยังต่างประเทศชะลอไปมากเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2550 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าแนวโน้มของการส่งออกเครื่องสำอางในช่วงหลังของปี 2551 อาจจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 0.5 หลังจากที่หดตัวร้อยละ 1.5 ในช่วงครึ่งปีแรก โดยแม้ว่าการส่งออกดังกล่าวจะได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างประเทศ แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักที่สำคัญๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มยุโรป และประเทศญี่ปุ่น ทำให้โดยรวมแล้วคาดว่าการส่งออกเครื่องสำอางของไทยในปี 2551 นี้ อาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 0.5 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 16.1 ในปี 2550 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าเครื่องสำอางกลุ่มที่มีศักยภาพและคาดว่าน่าจะมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 นี้ คือ เครื่องสำอางประเภทสิ่งปรุงแต่งที่ใช้แต่งเสริมความงามหรือแต่งหน้า เครื่องสำอางปรุงแต่งสำหรับบำรุงรักษาผิว และเครื่องสำอางประเภทสิ่งปรุงแต่งที่ใช้ก่อน ระหว่าง หรือหลังการโกนหนวด สิ่งที่ใช้ดับกลิ่นตัว สิ่งปรุงแต่งที่ใช้อาบน้ำ ฯลฯ โดยคาดว่าจะมีแนวโน้มการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ต้องปรับตัวอย่างมาก คือ เครื่องสำอางประเภทสิ่งปรุงแต่งสำหรับใช้กับผม ซึ่งปกติแล้วประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางกลุ่มนี้มากที่สุด แต่กลับมีแนวโน้มการส่งออกที่ลดลงเรื่อยๆ เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ คือ ประเทศญี่ปุ่น ที่ชะลอตัวลงในปี 2551 นี้
ขณะที่ประเทศอินโดนิเซียได้เพิ่มศักยภาพในการผลิตเครื่องสำอางกลุ่มนี้เพื่อการส่งออกมากขึ้น ดังนั้นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาทั้งด้านการผลิต ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และด้านการตลาดไปพร้อมๆกัน เพื่อสร้างให้เกิดกระแสตื่นตัวของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยยังมีความโดดเด่นอยู่ที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ผลิตโดยใช้วัตถุดิบหลักจากธรรมชาติ เนื่องจากในประเทศไทยมีสมุนไพรจากธรรมชาติที่สามารถนำมาสกัดเพื่อผลิตเป็นเครื่องสำอางได้ และผ่านการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.) มากมายหลายชนิด ซึ่งสอดรับกับกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกในปัจจุบัน หากสามารถนำจุดแข็งของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่ใช้วัตถุดิบหลักธรรมชาติมาสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น ลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ และสามารถส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น