ปัจจุบัน
การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมีปริมาณมากขึ้น
ในขณะที่การทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็มลดลง
แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้เงินสดที่ลดลง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคุ้มทุนในธุรกิจเอทีเอ็ม
กอปรกับต้นทุนในการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลต่ำกว่าเอทีเอ็มถึง 30 เท่า
ทำให้ผู้ให้บริการหันมารุกช่องทางดิจิทัลมากขึ้น โดยในปี 2561 จำนวนตู้เอทีเอ็มและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์มีจำนวนลดลง
มีอัตราการเติบโต
-0.98%YoY ลดลงจาก 5.17%YoY ในปี 2560 ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ
35 ปี
ทั้งนี้ หากแบ่งวัฏจักรความคุ้มทุนของธุรกิจเอทีเอ็มเป็น
4 ช่วง คือ 1.ช่วงเริ่มลงทุน 2.ช่วงคุ้มทุน 3.ช่วงเริ่มไม่คุ้มทุน และ 4.ช่วงไม่คุ้มทุน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า
ปัจจุบันเอทีเอ็มไทยกำลังอยู่ในช่วงที่ 3.ช่วงเริ่มไม่คุ้มทุน
ความคุ้มทุนของธุรกิจเอทีเอ็มเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2560 และต่อไป
การเติบโตของช่องทางดิจิทัล อาจมีผลให้จำนวนตู้เอทีเอ็มที่ไม่คุ้มทุนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
จนอาจทำให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเอทีเอ็มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรูปแบบจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น
ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบข้อบังคับที่ภาครัฐจะประกาศใช้ในอนาคต และบทสรุปของการเจรจาระหว่างธนาคารและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ทุก ๆ
การลดลง 5% ของจำนวนตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศ
จะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกิจเอทีเอ็มของสถาบันการเงินทั้งระบบได้ 5,220 –
5,880 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วนราว 0.03% ของจีดีพี
ซึ่งความต้องการใช้เงินสดที่ลดลงนี้ จะช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ
การผลิตธนบัตร การขนส่ง การเก็บรักษา การจัดการ และการทำลายธนบัตรด้วย
#เอทีเอ็ม
#ช่องทางดิจิทัล
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น