นางเทเรซ่า
เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562
ที่ผ่านมา ว่าจะลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมในวันที่ 7
มิถุนายน 2562 หลังจากได้รับแรงกดดันภายในพรรค
เพื่อเปิดทางให้มีการสรรหาผู้นำพรรคคนใหม่ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไป
เนื่องจากประสบความล้มเหลวในการรวบรวมเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภ าอังกฤษต่อร่างฎหมายข้อตกลงออกจากสหภาพยุโรป
(Withdrawal Agreement Bill) ซึ่งร่างข้อตกลงฉบับนี้
ไม่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษมาแล้วถึง 3 ครั้ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประเมินว่า การลาออกดังกล่าวสะท้อนว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อังกฤษอาจจะออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากเงื่อนไข
(No Deal) ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2562
ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายใหม่ที่เพิ่งได้รับการขยายเวลาไปเมื่อช่วงเดือนเมษายน
2562 ที่ผ่านมา
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นางเทเรซ่า เมย์ พยายามหาแนวทางสนับสนุนจากพรรคแรงงานเพื่อให้ช่วยออกเสียงให้ ความเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงออกจากสหภาพยุโรปที่เธอพยายามผลักดัน
โดยตอบรับข้อเสนอของพรรคแรงงานให้จัดการลงประชามติครั้งที่สอง แต่ท่าทีดังกล่าวกลับสร้างกระแสความไม่พอใจภายในพรรคอนุรักษ์นิยม
ทั้งยังเพิ่มความแตกแยกภายในพรรคมากขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่ร่างข้อตกลงจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาลางเรือนออกไ
ป แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นภายในพรรค ทำให้นางเทเรซ่า เมย์ ตัดสินใจประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม
ภายในวันที่ 7
มิถุนายน 2562 คาดว่า
ระยะเวลาในการสรรหาผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่
ซึ่งจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไปนั้น
จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า
2-3 เดือน หรือภายในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม ผู้ที่มีโอกาสได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคคนใหม่นั้น
มีทั้งนักการเมืองที่สนับสนุนแนวทางการออกจากสหภาพยุโรป (Brexiteers) แม้ว่าจะต้องออกโดยไม่มีเงื่อนไขก็ตาม เช่น นายบอริส จอห์นสัน และ นายโดมินิก
ราบบ์ รวมถึงนักการเมืองที่สนับสนุนให้อังกฤษยังคงอยู่ร่วมกับสหภาพยุโรปต่อไป เช่น
นายเจเรมี่ ฮันท์ อย่างไรก็ตาม คาดว่า นายบอริส จอห์นสัน มีโอกาสสูงที่จะได้รับการเลือกเป็นผู้นำคนใหม่
แต่หาก นายบอริส จอห์นสัน ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ยังคงไม่ชัดเจนว่า ผู้นำอังกฤษจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ถ้าอังกฤษจะต้องออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากเงื่อนไข
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประเมินว่า การลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซ่า เมย์ ส่งผลให้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศ
จากเงื่อนไข (No
deal) เนื่องจากอังกฤษอาจจะต้องเผชิญกับภาวะทางตันทางการเมือง เนื่องจากร่างข้อตกลงฉบับดังกล่าวยังคงไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกรัฐสภ
า ทั้งยังคงมีความเห็นที่ต่างกันจนยากที่จะหาข้อยุติร่วมกันได้ การแสวงหาทางออกโดยวิถีทางการเมืองยังคงตีบตัน
แม้ว่าจะมีความพยายามจากพรรคฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่นายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษ์นิยมยังได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ
ขณะที่ความพยายามในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาสามัญชนไม่ต่ำกว่า
2 ใน 3 ซึ่งส่วนข้อเรียกร้องของพรรคแรงงานให้จัดการลงประชามติครั้งที่
2 รวมถึง ข้อเรียกร้องให้ถอน (Revoke) การออกจากสหภาพยุโรปตามมาตรา
50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอน นั้น ไม่เป็นที่ยอมรับจากนักการเมืองฝ่ายขวาในพรรคอนุรักษ์นิยม
นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปล่าสุด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ยังบ่งชี้ว่า ประชาชนชาวอังกฤษส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนแนวทางการออกจากสห
ภาพยุโรป โดยปรากฏว่า พรรค Brexit ภายใต้การนำของนายไนเจล
ฟาราจ ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด เหนือคะแนนเสียงของพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคแรงงาน
ขณะเดียวกัน คาดว่า อังกฤษจะไม่ได้รับโอกาสให้ขยายเวลาการออกจากสหภาพยุโรปต่อไปได้อีก
แล้ว จากปัจจัยเหล่านื้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จึงคาดว่า โอกาสที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากเงื่อนไขยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ยังประเมินว่า หากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากเงื่อนไขแล้ว อังกฤษจะต้องอยู่ในสถานะประเทศสมาชิกองค์กรการค้าโลกประเทศหนึ่ง
ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ภายใต้ข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรปหรือสหภาพศุ ลกากร
ดังนั้น อังกฤษจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาทางเจรจาเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มควา
มร่วมมือทางการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรป เช่น สมาชิกเขตเศรษฐกิจยุโรป (European
Economic Area: EEA) อันเป็นตลาดร่วมกับกลุ่มประเทศในยุโรปในรูปแบบเดียวกับนอร์เวย์
รวมถึงอาจเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพศุลกากรเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอังกฤษและสหภาพ
ยุโรปในระยะต่อไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ยังมองว่า ระหว่างที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากเงื่อนไข อาจจะส่งผลให้เกิดอุปสรรคทางการค้า
การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ระหว่างอังกฤษกับชาติสมาชิกสหภาพยุโรป ส่งผลให้ต้นทุนทางธุรกรรมระหว่างกันเพิ่มสูงขึ้นในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน
เช่น ค่าใช้จ่ายตรวจสอบในพิธีการศุลกากรและการตรวจคนเข้าเมืองระหว่างกัน นอกจากนี้
กรณีดังกล่าว ยังส่งผลให้นักลงทุนขาดความไว้วางใจฝ่ายการเมืองที่มักตัดสินใจบนพื้นฐาน
ของคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จึงมักจะมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้ต้นทุนจากความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มมากยิ่งขึ้น
#Brexit #EU #เทเรซ่า
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น