เมื่อไม่นานมานี้
มีการแก้ไขหลักการภาษีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวม
ซึ่งมีผลทำให้ดอกเบี้ยที่กองทุนได้รับจากการลงทุนในสินทรัพย์ภายหลังวันที่ 20 ส.ค. 2562 จะเริ่มถูกเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 15% จากเดิมที่ไม่มีภาระภาษีตรงนี้
ดังนั้นแล้ว คำถามถัดมา ก็คือ
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้กับกองทุนรวมประเภทไหนบ้าง
ผลกระทบหลักๆ น่าจะเกิดขึ้นกับ 1. กองทุนตราหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และ 2. กองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้/เงินฝากผสมอยู่ด้วย
โดยดูจากข้อมูล ณ เม.ย. 2562 มีกองทุนตราสารหนี้
อยู่ทั้งสิ้น 577 กอง คิดเป็นประมาณ 1 ใน
3 ของจำนวนกองทุนรวมทั้งหมด
แต่ถ้าวัดจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิแล้ว กองตราสารหนี้ จะมีสัดส่วนสูงถึง 49.7%
ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อาจทยอยลดลง
หลังภาษีเริ่มมีผลบังคับใช้ 20 ส.ค. 62
ก่อน 20 ส.ค. 2562 - จุดที่สร้างความโดดเด่นให้กับกองทุนตราสารหนี้
ก็คือ ความเสี่ยงที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
เพราะกว่า 55% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ และอีก 32.6%
เงินฝากกับสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศ ยกตัวอย่าง
กรณีกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแบบกำหนดระยะเวลา (Term fund) อายุ 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 2.0% ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีหลังหักภาษี
ซึ่งให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.3-1.4%
หลัง 20 ส.ค. 2562 - ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองตราสารหนี้
จะเริ่มทยอยลดลง ตามส่วนผสมของตราสารหนี้ใหม่ที่กองทุนลงทุนหลังวันที่ 20 ส.ค. เนื่องจากดอกเบี้ยที่กองทุนได้รับจากตราสารหนี้ใหม่จะต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งถ้าย้อนกลับไปที่ตัวอย่างเดิม เมื่อเวลา 1
ปีผ่านไป หากพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้/เงินฝากต่างประเทศที่กองทุนไปลงทุน
ยังให้ผลตอบแทนเช่นเดิม ผลกระทบจากภาระภาษีที่เพิ่มเข้ามาตามกฎหมายใหม่
จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุน Term Fund อายุ 1
ปี ลดลงมาอยู่ที่ 1.66% ซึ่งจะเห็นว่า
ทิ้งแต้มต่อนำหน้าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี อยู่ไม่มาก
ขณะที่ แคมเปญเงินฝากพิเศษระยะ 11-15 เดือนตอนนี้
ก็ให้ดอกเบี้ยหลังหักภาษีที่ประมาณ 1.40-1.53% แล้ว
คงต้องติดตาม การปรับสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนของกองทุน
เพื่อรักษาผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ยังสามารถจูงใจผู้ลงทุน เพราะทั้งหมดนี้
ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และจังหวะของตลาด
รวมถึงระดับการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุนในระยะข้างหน้าด้วยเช่นกัน
#ภาษีกองทุนรวม #กองทุน
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น