วันที่ 18 ธันวาคม 2562 ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองในสหรัฐฯ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากผ่านบทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยความผิด 2 ข้อหา คือ 1. การใช้อำนาจในตำแหน่งประธานาธิบดีโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์ส่วนตัวในประเด็นเกี่ยวกับยูเครน (ด้วยคะแนนเสียง 230 ต่อ 197) และ 2. การขัดขวางกระบวนการทำงานของสภาคองเกรส (ด้วยคะแนนเสียง 229 ต่อ 198) ทั้งนี้ การผ่านบทบัญญัติถอดถอนประธานาธิบดีของสภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงข้างมากถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี โดยหลังจากนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าสู่กระบวนการไต่สวน โดยประธานผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ จะเป็นประธานในกระบวนการไต่สวน วุฒิสมาชิกจะทำหน้าที่เป็นคณะลูกขุน (Jury) และสภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่เสมือนอัยการ (Prosecutor) เมื่อการไต่สวนสิ้นสุด (โดยในการไต่สวนในกรณีการถอดถอนประธานาธิบดีคลินตันกินระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ขณะที่การไต่สวนในการถอดถอดประธานาธิบดีนิกสันกินเวลาเกือบปี ทั้งนี้ระยะเวลาอาจจะสั้นหรือยาวขึ้นกับการเรียกสอบถามพยานของวุฒิสมาชิก) วุฒิสภาสหรัฐฯ จะมีการลงมติ โดยหากวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 2 ใน 3 เห็นว่าประธานาธิบดีมีความผิด บทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนประธานาธิบดีจะมีผลเป็นกฎหมาย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าโอกาสที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะถูกถอดถอนยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาสูงโดยมีเสียงในสภาสูงถึง 53 จาก 100 เสียง (พรรคเดโมเครตมีเสียงในสภาสูงเพียง 45 เสียง ขณะที่อีก 2 เสียงเป็นวุฒิสภาอิสระ) ซึ่งนั่นหมายความว่าพรรคเดโมเครตจะต้องอาศัยเสียงจากจากรีพับลิกันและตัวแทนอิสระไม่น้อยกว่า 22 เสียงสนับสนุนการถอดถอนจึงจะส่งผลให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ถูกปลดจากตำแหน่ง ซึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีที่ถูกถอดถอนจากบทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลย