ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม:
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ซึ่งจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม. ในวันนี้ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ-จีน (ซึ่งแม้สหรัฐฯ จะมีการขยายเวลาให้บริษัทหัวเว่ย สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐฯ ได้อีก 90 วัน แต่ก็มีการกดดันเพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มบริษัทในเครือของ
หัวเว่ยอีก 46 แห่งเข้าในบัญชี Entity List) สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ประเด็นความเสี่ยง BREXIT และสถานการณ์ของตลาดการเงินจีน
เงินบาทตลาดในประเทศแข็งค่าขึ้น (19 ส.ค.)
สอดคล้องกับทิศทางของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง และสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเช้าวันนี้ (20 ส.ค.) เงินบาททรงตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ ประมาณ 30.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ**
ตลาดหุ้นไทยปิดบวก
ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค แม้นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นต่างประเทศปิดบวก
ท่ามกลางความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยผ่อนคลายความกังวลต่อภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกลงบางส่วน ขณะที่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ขยายเวลาในการอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ย ซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐฯ ได้อีก 90 วัน
ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ท่ามกลางการคาดหวังต่อมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของทางการทั่วโลก
ประกอบกับมีแรงหนุนจากข่าวการโจมตีบ่อน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ด้านราคาทองคำยังลงต่อเนื่องตามแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยของนักลงทุน
ที่มา: ธปท., Bisnews, www.bloomberg.com รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
หมายเหตุ: *อัตราอ้างอิงจากธปท. **ข้อมูล ณ เวลา 8.25 น.
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น