ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 2.00-2.25% มาที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปี 2561 เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินเข้าใกล้ระดับปกติมากขึ้น ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสูงกว่าศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ทั้งนี้ แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวจะเริ่มมีสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะเครื่องชี้ที่อยู่อาศัย หลังจากที่เฟดดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมยังคงสนับสนุนเส้นทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นของเฟด อันจะเห็นได้จากดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน 2561 ที่อยู่ในระดับ 59.3 อันบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า ขณะที่พัฒนาการตลาดแรงงานสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีสัญญาณชะลอลงบ้างแต่โดยรวมการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานยังคงทำได้สูงกว่าวัฎจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบที่ผ่านมา
มองไปข้างหน้า การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด คงจะขึ้นอยู่กับการประเมินภาวะเศรษฐกิจและมีความไม่แน่นอนมากขึ้นกว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้น กอปรกับการการผลัดเปลี่ยนคณะกรรมการนโยบายการเงินที่คงจะมีมุมมองระมัดระวังต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น อาจจะส่งผลให้มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดอาจจะเว้นระยะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า เพื่อรอประเมินภาพของพัฒนาการของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาพของการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2562 รวมทั้ง ปัจจัยเสี่ยงด้านการคลังที่อาจจะกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2562 ยังคงรักษาการเติบโตที่สูงกว่าระดับศักยภาพในระยะยาว เฟดน่าจะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้งภายในการประชุมเฟดเดือนมิถุนายน และมีโอกาสที่เฟดจะพิจาณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น