ตั้งแต่ในช่วงเดือนเม.ย.
ที่ผ่านมา เป็นช่วงระยะเวลาสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกได้ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
รวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงัน
ซึ่งในจังหวะเวลาดังกล่าว
นักลงทุนต่างชาติก็มีสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี
ภาพในอีกด้านหนึ่ง เงินบาทกลับทยอยแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 เป็นต้นมา
จากผลของเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่า และปัจจัยเฉพาะของไทย อาทิ การส่งออกทองคำ
และการนำเงินกลับเข้าประเทศ
สำหรับทิศทางเงินบาทในระยะข้างหน้า
ประเมินว่า ยังมีโอกาสแข็งค่าอยู่จากการที่ไทยยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังต้องติดตามสถานการณ์ของเงินดอลลาร์ฯ
เพิ่มเติม เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ
ยังไม่นิ่ง ขณะที่เหตุจลาจลอาจทำให้ความเสี่ยงในการระบาดระลอกสองเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งย่อมเป็นผลเสียต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
และในอีกด้านหนึ่ง เฟดก็คงต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมาก
ซึ่งทำให้ยังต้องรอประเมินโอกาสที่เฟดจะใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ปริมาณเงินดอลลาร์ฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยลบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ฯ
ในระยะข้างหน้า
ดังนั้นคาดว่า
เงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าไปอยู่ในกรอบ 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ได้ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ขณะที่ธปท.
ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยเน้นการดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผิดไปจากปัจจัยพื้นฐาน
เพื่อเลี่ยงผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และจากสัญญาณล่าสุด
สะท้อนว่า ธปท.
น่าจะอยู่ระหว่างการติดตามธุรกรรมทางการเงินที่อาจจะมีผลต่อความผันผวนของเงินบาทใน
2 ส่วน ได้แก่
ธุรกรรมของกลุ่มผู้ค้าทองคำ โดยเฉพาะในช่วงที่ปริมาณการส่งออกทองคำยังอยู่ในระดับสูง
และการทยอยกลับเข้าซื้อพันธบัตรระยะต่ำกว่า 1 ปีซึ่งสะท้อนการกลับเข้ามาพักเงินระยะสั้นอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติ
และอาจพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น