วิกฤตโควิด-19
ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น
ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกต่อเศรษฐกิจและธุรกิจในแทบทุกสาขา
ซึ่งเศรษฐกิจและธุรกิจในไทยก็เผชิญแรงกดดันนี้ เริ่มจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
การผลิตในห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่ผูกพันกับการค้าระหว่างประเทศ
เกิดการหยุดชะงักและขาดรายได้หล่อเลี้ยงกิจการ
ทำให้ต้องปรับลดต้นทุนหรือแม้แต่ปิดกิจการชั่วคราว ลุกลามมาถึงธุรกิจที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศที่เดิมก็อยู่ในภาวะอ่อนแรงอยู่แล้ว
ปัจจัยลบนี้ซ้ำเติมกำลังซื้อของครัวเรือนให้ยิ่งลำบากและต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นโดยเฉพาะถ้าสมาชิกในครัวเรือนต้องประสบกับภาวะถูกเลิกจ้างหรือมีรายได้ลดลง
โดยเบื้องต้นประเมินว่า ในปี 2563 จำนวนผู้มีงานทำอาจลดลงอีกในหลักหลายแสนตำแหน่ง
ต่อเนื่องจากในปี 2562 ที่จำนวนผู้มีงานทำลดลง 2.5 แสนตำแหน่ง
คงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า วิกฤตโควิด-19
จะยังไม่สิ้นสุดในระยะใกล้ จึงยากที่เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
โดยมูลค่าสะสมที่สูญเสียไปตลอดปีอาจคิดเป็นเม็ดเงินรวมๆ ไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท
ในด้านธุรกิจก็เช่นกัน การจะอยู่รอดภายใต้สถานการณ์นี้
ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวอย่างหนัก ทั้งการบริหารจัดการสภาพคล่อง/กระแสเงินสด
การผ่อนผันการชำระหนี้ต่างๆ การตัดลดต้นทุนในส่วนที่ไม่กระทบต่อการสร้างรายได้ รวมทั้งการใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการต่างๆ
ของภาครัฐและสถาบันการเงินที่ทยอยออกมาแล้วหรือที่กำลังจะตามมาอีกในอนาคต
ท่ามกลางความซบเซาในบรรดาธุรกิจต่างๆ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
มองว่า หากจะต้องหาธุรกิจในประเทศที่ยังพอมีโอกาสหรือแย่น้อยกว่าธุรกิจอื่นโดยเปรียบเทียบในปี
2563 แล้ว อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1.ธุรกิจพัฒนาแอพพลิเคชั่น/โซลูชั่น/คอนเทนท์ออนไลน์
รวมถึงผู้ให้บริการคลาวด์และสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ต
จากความจำเป็นในการรักษาระยะห่างทางสังคม การเรียนออนไลน์ และการทำงานที่บ้าน แต่ผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มนี้คงต้องปรับผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้งานมากขึ้น
ทั้งในด้านข้อมูลสาระและความบันเทิง
ขณะที่ผู้ประกอบการที่เดิมไม่ได้ทำธุรกิจนี้ อาจมีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดพอสมควรเพราะขาดทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
2.ธุรกิจด้านอาหาร
รวมถึงธุรกิจค้าปลีกสินค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อาทิ วิตามิน
เจลแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ หน้ากากอนามัย เป็นต้น
ซึ่งแม้ตลาดจะมีผู้ขายมากรายและเต็มไปด้วยการแข่งขัน
แต่ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาหรือเป็นลูกจ้างที่ตกงาน/ถูกหยุดจ้างชั่วคราว อาจเข้าสู่ธุรกิจนี้ได้โดยไม่ลำบากเกินไป
เพียงแต่หากทำธุรกิจด้านอาหาร ก็คงต้องเน้นการชูความสะอาดและความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
รวมถึงเป็นเมนูอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่ย่อมเยาและเสริมด้วยบริการจัดส่งให้ถึงที่พัก
ขณะที่หากเป็นธุรกิจค้าปลีกสินค้าที่เป็นที่ต้องการในยามนี้ ก็คงอยู่ที่ว่าผู้ประกอบการจะสามารถจัดหามาจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้และส่งถึงมือผู้บริโภคเป้าหมายได้โดยสะดวกหรือไม่เป็นหลัก
ท้ายสุดนี้ ในยามวิกฤต
หากผู้ประกอบการตั้งหลักให้ดี มีความขยันและอดทน มองหาโอกาสสร้างรายได้อยู่เสมอ
ก็น่าจะช่วยให้สามารถฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปได้ และหลังจากนี้เมื่อสถานการณ์ต่างๆ
ทยอยกลับสู่ภาวะปกติ ทุกธุรกิจคงต้องกลับมาทบทวนและซ่อมสร้างกลยุทธ์ให้ดีกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นการกระจายตลาด/แหล่งวัตถุดิบ/ช่องทางที่หลากหลาย
รวมไปถึงการมีเงินออม/แผนสำรองรองรับกรณีฉุกเฉิน
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น