ปัจจุบันประเทศเวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ หรือที่เรียกกันว่ากลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่(CLMV) ที่ประกอบไปด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม กำลังก้าวเข้ามาเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนาม ทำให้ในปี 2553 ไทยปรับเป้าหมายการส่งออกข้าวลงเหลือ 8.3-8.5 ล้านตัน จากที่เคยตั้งเป้าหมายว่าจะส่งออกข้าวได้มากถึง 9.5 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเวียดนามซึ่งตั้งเป้าว่าจะส่งออกข้าวได้ 6.1 ล้านตัน แต่เวียดนามปรับประมาณการส่งออกขึ้นเป็น 6.4-6.5 ล้านตัน เนื่องจากสามารถส่งออกไปยังฟิลิปปินส์ได้มากเป็นประวัติการณ์ และขยายตลาดส่งออกไปยังบังคลาเทศในช่วงไตรมาสสามอีกด้วย ในระยะถัดไปกัมพูชาและพม่าก็จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งรายใหม่ จากการขยายการผลิตและการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับมาตรฐานการสีข้าว และระบบชลประทาน รวมถึงระบบโครงสร้างสาธารณูปโภค หลังจากนั้นไม่นานลาวก็จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหม่เช่นกัน ซึ่งเท่ากับว่าทั้งกัมพูชา พม่า และลาวจะเป็นคู่แข่งในการส่งออกข้าวของไทยในอนาคต แม้ว่าในปัจจุบันปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศเหล่านี้ยังไม่มากนัก แต่ก็มีแต้มต่อจากการสนใจเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งประเทศในตะวันออกกลาง จีน และเวียดนาม รวมทั้งการได้รับสิทธิพิเศษในการลดภาษีนำเข้า โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรป
ประเด็นที่ไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วนคือ ไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ข้าวเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ทางการตลาดและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเจาะขยายตลาดข้าวของเวียดนาม ที่ประสบความสำเร็จในการเบียดแย่งสัดส่วนตลาดส่งออกข้าวขาวของไทย โดยใช้กลยุทธ์ราคา และกำลังพยายามขยับขึ้นมาเบียดแย่งตลาดข้าวหอม และข้าวนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจข้าวของไทย โดยเฉพาะราคาที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในด้านการผลิต การปรับตัวของเกษตรกรรายย่อยนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เทคโนโลยีสมัยใหม่ และข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้น การสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยรวมกลุ่มกันเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการผลิต เช่น การรวมกลุ่มกันเพื่อปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวพร้อมกันเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ซึ่งทำให้สามารถจ้างรถเก็บเกี่ยวข้าว ซื้อปัจจัยการผลิต เข้าถึงแหล่งเงินทุน และรับความช่วยเหลือในด้านต่างๆจากหน่วยงานรัฐบาลได้ง่ายขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเร่งพัฒนาการบริหารจัดการที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าว และการพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอกับการปลูกข้าว
ในด้านการตลาดส่งออกนั้น การรวมตัวกันระหว่างประเทศผู้ส่งออกข้าวในอาเซียนด้วยกันนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากอำนาจในการผูกขาดเพื่อกำหนดราคานั้นเหมือนไม่เหมือนกับกลุ่มโอเปค ซึ่งการส่งออกข้าวยังเป็นการแข่งขันที่รุนแรงต่อไป ดังนั้น ไทยต้องรักษาจุดแข็งของไทยที่เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวคุณภาพ และข้าวเกรดพรีเมี่ยมอย่างข้าวหอมมะลิ แม้จะมีข้าวหอมอื่นๆมาแข่ง แต่คุณภาพยังสู้ข้าวหอมมะลิไม่ได้ รวมทั้งยังต้องสื่อสารให้กับประเทศผู้นำเข้าข้าวรับรู้ด้วย นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบของไทย คือ มาตรฐานของโรงสี การคัดเกรดมาตรฐานข้าว และโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน
แม้ว่าความต้องการข้าวในตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์สูงก็ตาม รวมทั้งยังต้องเตรียมกลยุทธ์ที่จะรับมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนใหม่ที่กำลังขยายพื้นที่ปลูกข้าว โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าว เท่ากับประเทศเหล่านี้จะกลายเป็นคู่แข่งในการส่งออกข้าวรายไหม่ของไทย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น