กล่าวโดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในปี 2553 น่าจะมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นกว่าปี 2552 โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี ทั้งภาวะเศรษฐกิจและภาวะการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ เหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศอยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลดูแลได้และไม่นำมาสู่ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาสำคัญอยู่ที่แนวโน้มการแข่งที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งระหว่างผู้ประกอบการภายในประเทศด้วยกันเอง และการแข่งขันกับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนต่างประเทศที่เป็นคู่แข่ง ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชียเช่นเดียวกับไทย รวมถึงปัญหาทางด้านการเมืองในประเทศที่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาทำการรักษาพยาบาลในประเทศได้
ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ต้องการส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ อาจต้องอาศัยการสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ และหันมาทำการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยเลือกไลฟ์สไตส์สอดคล้องกับลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในการแข่งขันก็ควรจะพิจารณาทำตลาดในเชิงรุกด้วยการขยายตลาดในต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก รวมถึงอาศัยจุดแข็งในแง่ค่ารักษาพยาบาล คุณภาพการรักษาและการบริการดึงลูกค้าชาวต่างชาติ เนื่องจาก เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อคนสูงกว่าคนไข้ในประเทศอีกด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น