ทิศทางราคายางที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 2549 เป็นผลมาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งปริมาณการผลิตยางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูการผลิตยาง ประเทศผู้ซื้อยางชะลอการซื้อเพื่อรอดูทิศทางราคายาง โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ยางลดการผลิต เนื่องจากต้องประสบกับภาวะขาดทุนในช่วงที่ราคายางเพิ่มสูงขึ้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทส่งผลให้ผู้ส่งออกยางของไทยต้องประสบกับภาวะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และบรรดาพ่อค้ายังใช้เป็นข้ออ้างในการกดราคารับซื้อยางในประเทศ เนื่องจากไม่สามารถปรับราคาส่งออกได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ราคายางของไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่งขัน ราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้ราคายางสังเคราะห์ที่ใช้ทดแทนยางธรรมชาติมีแนวโน้มลดลง ซึ่งส่งผลกดดันต่อราคายางธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีผลจากการที่บรรดานักเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าหันไปเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น โดยจะรอจนกว่าจะมีสัญญาณว่าราคายางจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งจึงจะเข้ามาเก็งกำไรราคายาง อย่างไรก็ตามคาดว่าราคายางจะทรงตัวอยู่ในระดับ 55-70 บาท/กิโลกรัมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 ต่อเนื่องไปถึงปี 2550-2551 และจะขยับขึ้น-ลงตามปัจจัยทางด้านปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ยางเป็นสำคัญ โดยคาดการณ์ว่าในอนาคตทั้งปริมาณการผลิตและปริมาณการใช้ยางยังคงมีแนวโน้มขยายตัว ซึ่งในด้านการผลิตยางประเทศที่น่าจับตามองคือ อินโดนีเซียและเวียดนาม ส่วนประเทศผู้ใช้ยางที่น่าจับตามองคือ จีนและอินเดีย อย่างไรก็ตามราคายางดังกล่าวนับว่ายังอยู่ในเกณฑ์สูง และยังเป็นราคาที่ทำให้บรรดาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางสามารถอยู่รอดได้เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้ปลูกยาง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น