สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ 2 แห่ง ได้แก่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (Standard & Poor's: S&P) และ ฟิทช์ เรทติงส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่ 'เชิงลบ' จากเดิม 'มีเสถียรภาพ' เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า นอกจากจะต้องรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินของโลก เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังต้องเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งได้กลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังส่งผลบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน พร้อมๆ ไปกับพื้นฐานทางเครดิตของประเทศ ซึ่งในเวลานี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศต่างก็จับตาดูพัฒนาการของปัญหาทางการเมืองของไทยเป็นพิเศษ เนื่องจากสถานการณ์ที่ยืดเยื้อและ/หรือบานปลายนั้น อาจส่งผลต่อเนื่องทำให้ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงขยายออกไปในวงกว้าง ซึ่งนั้นก็จะทำให้แนวโน้มทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแอลงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อท่ามกลางแนวโน้มชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก อาจทำให้ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของไทยต้องรับมือกับโจทย์หนักจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแนวโน้มการชะลอตัวของภาคส่งออกและความผันผวนของตลาดการเงิน ในขณะที่ โจทย์หนักจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศนั้น อาจส่งผลทำให้การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการไทยขาดประสิทธิผลที่ชัดเจน เมื่อประเด็นเรื่อง ;ความเสี่ยงทางการเมือง” อาจกลายมาเป็นปัจจัยหลักที่กำหนด ;ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย” โดยความต่อเนื่องของนโยบายการคลังอาจต้องประสบกับภาวะชะงักงัน เนื่องจากแม้ว่ารัฐบาลอาจจำต้องแบกรับภาระการขาดดุลการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็อาจยังประสบกับปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณหากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศยังคงไม่นิ่ง ในขณะที่ กลไกการส่งผ่านผลของสภาวะที่ผ่อนคลายของนโยบายการเงินอาจไม่สามารถแผ่ขยายไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงเท่าที่ควร เนื่องจากสถาบันการเงินต้องเผชิญกับข้อจำกัดจากความเสี่ยงในการปล่อยกู้ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินยังมีต้นทุนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษและตราสารทางการเงินเพื่อระดมสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ การระดมสภาพคล่องเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเพียงพอสำหรับรองรับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะในภาวะความเสี่ยงสูงเช่นปัจจุบัน อาจทำให้เป็นการยากที่สถาบันการเงินจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยจำต้องตกเข้าสู่ภาวะที่ซบเซายาวนาน ซึ่งนั่นก็ย่อมจะหมายถึงโจทย์ที่หนักมากยิ่งขึ้นของทางการไทยในระยะต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น