วิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบขยายวงกว้างไปยังภาคเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกอย่างประเทศจีน สะท้อนจากธุรกิจในจีนจำนวนมากที่ต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจในพื้นที่ติดทะเลภาคตะวันออกที่ใช้แรงงานมากและพึ่งพาการส่งออก ส่งผลให้คนว่างงานในจีนเพิ่มขึ้นและต้องกลับเข้าไปหางานในบ้านเกิดภาคชนบท คาดว่าปัญหาการว่างงานในจีนน่าจะรุนแรงมากขึ้นจากผลพวงของภาคธุรกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวรุนแรง จนทำให้ทางการจีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ประกาศในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2551 นี้ รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องโดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแรงถึงร้อยละ 1.08 เหลือร้อยละ 5.58 เพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศและช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจลดลง
ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวรุนแรงมากขึ้นและเศรษฐกิจประเทศจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวลงอีกในระยะสั้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนไทยที่จะเข้าไปลงทุนในจีนอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ในตลาดจีนที่ชะลอตัว ภาวะสินเชื่อตึงตัวและต้นทุนค่าแรงงานที่สูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยจำกัด มองว่า เศรษฐกิจทั่วโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวต่ำสุดในช่วงกลางปี 2552 และน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 อาจจะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมา รวมถึงสถานการณ์ด้านการเข้าไปลงทุนในจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้นโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้นของทางการจีนมูลค่า 568 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ คาดว่าจะช่วยให้รายได้ภาคชนบทขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป รวมทั้งนโยบาย ‘มุ่งสู่ตะวันตก' ของทางการจีนตั้งแต่ปี 2544 และนโยบายปฏิรูปชนบทซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทางการจีนให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง น่าจะพัฒนาเศรษฐกิจในภาคชนบทของจีนให้เติบโตได้ต่อเนื่อง และเป็นโอกาสของการขยายธุรกิจค้าปลีกเข้าไปสู่ตลาดชนบทของประเทศจีน และที่สำคัญทางการจีนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับการลงทุนในพื้นที่ตอนในของจีนและประโยชน์จากค่าแรงงานที่ต่ำกว่าพื้นที่ติดทะเลชายฝั่งตะวันออกด้วย จึงถือเป็นปัจจัยสนับสนุนโอกาสขยายการลงทุนของไทยในจีนในระยะต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น