แม้ว่าอัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้แนวโน้มชะลอลงจากปี 2551 แต่เศรษฐกิจจีนที่ยังขยายตัวเป็นบวกในปี 2552 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่ช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ที่เริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2551 ได้ส่งผลขับเคลื่อนให้สินค้าส่งออกของไทยไปจีนปรับตัวดีขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า วงจรพิมพ์ และแผงวงจรไฟฟ้า โดยอัตราหดตัวของการส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤษภาคมยังคงชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มปรับดีขึ้น
โดยอาจเติบโตร้อยละ 5-15 เนื่องจากฐานที่ต่ำของการส่งออกไปจีนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ที่หดตัวถึงร้อยละ 24 ซึ่งอาจทำให้การส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวเป็นบวกในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมั่นคงมากขึ้นในช่วงปลายปี ส่วนการส่งออกของไทยไปจีนในครึ่งปีแรกคาดว่าอาจติดลบร้อยละ 20 (ส่งออกไปจีน 5 เดือนแรกหดตัวร้อยละ 23) ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนทั้งปี 2552 อาจติดลบระหว่างร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 8 เทียบกับปี 2551 ที่ขยายตัวร้อยละ 9
สำหรับแนวโน้มการค้าระหว่างไทยกับจีนยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเสรีความตกลง FTA อาเซียน-จีน ที่มีกำหนดให้อาเซียนเดิม 6 ประเทศและจีนต้องลดภาษีศุลกากรระหว่างกันสำหรับสินค้าสัดส่วนร้อยละ 90 ให้อัตราภาษีเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อภาคส่งออกไทยไปจีนที่น่าจะขยายตัวดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้การนำเข้าสินค้าของไทยจากจีนมีมูลค่าต่ำลง โดยจีนถือเป็นประเทศที่ไทยนำเข้ามีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น สินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากจีนเป็นสินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป การลดภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนภายใต้ความตกลงฯ จะช่วยลดต้นทุนนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากจีนทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจไทยลดลงตามไปด้วย
ส่วนการลงทุนของจีนในไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เริ่มมีทิศทางปรับดีขึ้น มูลค่าโครงการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 161 เป็น 459.6 ล้านบาท จาก 176 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปี 2551 แนวโน้มการลงทุนของจีนในไทยคาดว่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เช่นกันตามภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากแรงหนุนของมาตรการภาครัฐที่ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนขยายตัวต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจจีนปรับดีขึ้น รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของทางการจีน ส่งผลให้การลงทุนของภาคธุรกิจจีนขยายตัว
ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของจีนจากไทยประเภทวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าทุนปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุนแล้ว ยังน่าจะเป็นแรงดึงดูดให้นักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในไทย เพื่อสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมจีนที่ยังเติบโตได้ ประกอบกับนโยบายของทางการจีนสนับสนุนการออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในสาขาพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของจีน รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรและพืชพลังงานทดแทน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งพืชผลทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ น่าจะเป็นแหล่งลงทุนที่นักลงทุนจีนสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น
ปัจจัยบวกที่ดึงดูดให้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยและอาเซียน นอกจากประโยชน์ด้านภาษีจากความตกลง FTA อาเซียน-จีนด้านการค้าสินค้าที่ทำให้นักลงทุนจีนสามารถส่งออกสินค้าที่ผลิตในไทยกลับไปจีนโดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการเสียภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป รวมทั้งสินค้าทุนในอัตราต่ำลง ความตกลง FTA อาเซียน-จีน ภาคบริการชุดที่ 1 ที่ได้เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วหลังจากการ ลงนามในเดือนมกราคม 2550 ส่งผลให้การลงทุนในธุรกิจบริการหลายสาขาระหว่างอาเซียนรวมทั้งไทยและจีนมีความเป็นไปได้มากขึ้น ส่วนความตกลงด้านการลงทุนที่อาเซียนและจีนมีกำหนดลงนามในปี 2552 นี้ เป็นความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของอาเซียนและจีนในการเข้าไปลงทุนระหว่างกันได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยการเมืองของไทยที่คาดว่าจะมีความมั่นคงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนจีนให้เข้ามาลงทุนในไทยได้มากขึ้น และหากการลุกลามของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ลดความรุนแรงลงและสามารถควบคุมการแพร่กระจายได้ อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างมั่นคงมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น