ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดน่าจะยังคงดำเนินการปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณลงอีก 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในการประชุมครั้งที่ 7 ของปี 2557 ในวันที่ 28-29 ตุลาคม 2557 นี้ อันถือเป็นการสิ้นสุดการซื้อสินทรัพย์ภายใต้โครงการ QE อย่างเป็นทางการ หลังจากที่นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างมากของเฟด ช่วยให้พื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น จนสามารถหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังมีไม่มากนัก อาจส่งผลให้เฟดใช้ความระมัดระวังประเมินสภาวะของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะเริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการปรับนโยบายการเงินให้เป็นแบบปกติมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามในระหว่างนี้ ได้แก่ แนวทางในการจัดการงบดุล รวมทั้ง การจัดการสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินสหรัฐฯ
สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินไทย คงต้องยอมรับว่า ท่าทีของเฟดที่มีความระมัดระวังมากขึ้น ต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าดังกล่าว คงช่วยทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงในทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และคลายความวิตกต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติลงไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดคงจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว คงทำให้อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ไทยมีโอกาสขยับขึ้นตาม ซึ่งเป็นสัญญาณให้ภาคธุรกิจของไทยต้องเตรียมบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินรองรับไว้ล่วงหน้า ขณะที่ คงเป็นเหตุการณ์ที่ทางการไทยคงติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของไทย แม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่แหล่งเงินทุนในระบบการเงินไทยพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกประเทศในระดับต่ำ จะช่วยลดทอนผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดได้ในระดับหนึ่งก็ตาม
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น