ในการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 5 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปประกาศโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินมาตรการ Public Sector Purchase Programme (PSPP) หรือที่รู้จักกันในนาม QE ในแบบฉบับของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อันมีกำหนดการจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มีนาคม 2558 นี้ หลังจากที่ได้ส่งสัญญาณถึงแนวทางการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวในการประชุมเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศุนย์วิจัยกสิการไทยได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำ QE ของ ECB ดังนี้
การทำ QE ของธนาคารกลางยุโรป อาจส่งผลดีต่อภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวในยูโรโซน ผ่านการอ่อนค่าของค่าเงินยูโรเป็นหลัก การอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของค่าเงินยูโร คงส่งผลบวกต่อภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนประมาณ 44% เศรษฐกิจยูโรโซน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของค่าเงินยูโรยังเป็นอีกปัจจัยที่คงจะช่วยหนุนภาคการท่องเที่ยว และคงส่งผ่านกิจกรรมไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ให้ทยอยปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งกระตุ้นการลงทุนระลอกใหม่ในยูโรโซนให้ทยอยกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
นอกจากนี้ ผลของมาตรการ QE ในรอบนี้ คงจะหนุนนำการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนในระยะข้างหน้า ผ่าน 2 กลไกหลักในการส่งผ่านมาตรการทางการเงินไปยังภาคเศรษฐกิจ โดย กลไกแรก การปรับเพิ่มขึ้นของราคาพันธบัตรที่ธนาคารพาณิชย์ถืออยู่ อันช่วยหนุนงบดุลและสถานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้แข็งแกร่งขึ้น และกลไกที่สอง ผลข้างเคียงจากการซื้อพันธบัตรของ ECB น่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางของประเทศที่มีอันดับเครดิตสูงที่สุด อาทิ เยอรมนี ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ยังคงติดลบ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ธนาคารพาณิชย์ต้องพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่หายไป
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย ผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยยังน่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากการซื้อสินทรัพย์ของทาง ECB นั้นจะเป็นการซื้อสินทรัพย์สกุลเงินยูโรเป็นหลักโดยการส่งผ่านผลของ QE ไปยังตลาดการเงินไทยอาจได้รับผลทางอ้อม จากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสถาบันที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนสินทรัพย์ในยูโรโซน รวมทั้ง อาจได้รับผลจากการการกู้ยืมเงินในสกุลที่ให้ผลตอบแทนต่ำ เพื่อมาซื้อสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือ Carry Trade โดยเงินสกุลยูโรอาจถูกใช้เป็นสกุลเงินระดมทุน (Funding Currency) ในขณะที่สกุลเงินในประเทศเกิดใหม่ รวมทั้ง เงินบาทคงเป็นสกุลเงินเป้าหมายในการลงทุน อันอาจส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยมากขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น