ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา จะได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2550 นี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.0 โดยชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ในไตรมาสที่สี่ปี 2549 ในขณะที่การขยายตัวในไตรมาสที่สองคงจะดีขึ้นเล็กน้อยอันเนื่องมาจากผลของฐาน คือเท่ากับประมาณร้อยละ 3.5-4.0 นอกจากนี้ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองของไทยในช่วงข้างหน้ายังคงจะต้องผ่านเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในต้นเดือนกันยายน และการเลือกตั้งทั่วไป แต่ความชัดเจนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นหลังคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญในวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็น่าที่จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อความเชื่อมั่นและภาวะการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่สามเป็นต้นไป โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2550 อาจจะอยู่ที่ร้อยละ 4.0-5.0 เมื่อเทียบกับร้อยละ 3.0-3.5 ในช่วงครึ่งแรกของปี ขณะที่อัตราการขยายตัวของทั้งปี 2550 อาจอยู่ที่ร้อยละ 3.5-4.5 เทียบกับร้อยละ 5.0 ในปี 2549
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ โดยเฉพาะหากธปท.มองว่าเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีขึ้นแล้ว แต่การที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.50 นั้น ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งปีหลัง ที่คาดไว้ที่ร้อยละ 2.2-2.5 ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธปท.ยังพอที่จะมีช่องในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกเล็กน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยสามารถที่จะฟื้นตัวขึ้นได้จริง โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2550 อัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวอาจจะปรับลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.00-3.25
แม้ว่าการทยอยฟื้นตัวของภาวะการใช้จ่ายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนและการบริโภค น่าจะส่งผลให้การนำเข้าขยายตัวเด่นชัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 แต่ก็คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะยังคงมีฐานะที่เกินดุล โดยการเกินดุลในช่วงครึ่งหลังของปีนั้น จะได้รับแรงหนุนจากดุลบริการ ตามปัจจัยทางด้านฤดูกาลของธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งฐานะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวเมื่อประกอบกับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมีพัฒนาการในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯอาจจะอ่อนตัวลงหากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไตรมาสที่สี่ ก็น่าที่จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อค่าเงินบาท โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2550 อาจจะอยู่ที่ระดับประมาณ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับในด้านปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยนั้น คงจะต้องยอมรับว่าสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศยังคงเป็นประเด็นหลักที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะในการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในเดือนกันยายน และการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น ต่อเนื่องไปจนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ในขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันก็อาจจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธปท.ได้ สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดนั้น คงจะได้แก่การปรับฐานของตลาดหุ้นจีน ที่อาจส่งผลต่อเนื่องไปยังตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาค ในขณะที่ภาวะฟองสบู่ของจีนเองก็อาจกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่สวนทางกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มยูโรและญี่ปุ่นนั้น ก็อาจจะส่งผลต่อความผันผวนในตลาดเงินระหว่างประเทศได้เช่นกัน
หน่วย: % YoY, หรือระบุเป็นอย่างอื่น |
2549 |
|
2550 |
|
|
|
ครึ่งแรก |
ครึ่งหลัง |
ทั้งปี |
GDP |
5.0 |
3.0-3.5 |
4.0-5.0 |
3.5-4.5 |
การบริโภคภาคเอกชน |
3.1 |
1.5-2.5 |
3.0-3.5 |
2.3-3.0 |
การลงทุนรวม |
4.0 |
-3.2 ถึง -1.5 |
0.1-4.3 |
-1.5 ถึง +1.4 |
เอกชน |
3.9 |
-5.3 ถึง -3.5 |
-0.7 ถึง +3.9 |
-3.1 ถึง +0.1 |
รัฐ |
4.5 |
3.9-4.8 |
2.5-5.5 |
3.1-5.2 |
การส่งออก |
17.4 |
15.0-17.0 |
8.0-10.0 |
11.0-13.0 |
การนำเข้า |
7.0 |
4.0-5.0 |
8.0-10.0 |
6.0-8.0 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ฯ) |
3.2 |
5.5 ถึง 6.0 |
3.9 ถึง 6.5 |
9.4 ถึง 12.0 |
ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย (บาท/ลิตร) |
25.6 |
24.2 |
25.1 |
24.6 |
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ย (ดอลลาร์ฯ) |
65.2 |
62.6 |
65.3 |
64.0 |
ค่าเงินบาท (เฉลี่ย) |
37.93 |
35.13 |
34.54 |
34.83 |
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) |
4.7 |
2.1-2.2 |
2.2-2.5 |
2.1-2.3 |
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) |
2.3 |
1.2 |
1.4 |
1.3 |
อัตราดอกเบี้ย Repo-1Day (ระดับปิด) |
4.9375 |
3.50 |
3.00-3.25 |
3.00-3.25 |
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น