ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ สูงขึ้น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ 5 พ.ย. นี้
• การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 เป็นตัวแปรที่กำหนดทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง ทั้งสองพรรคมีแนวโน้มที่จะยังคงสานต่อนโยบายการกีดกันการค้ากับจีนแต่ในระดับที่ต่างกัน อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการขาดดุลทางการคลังตามนโยบายการใช้จ่ายทางการคลังและภาษีที่แตกต่างกันออกไป
• หากพรรครีพับลิกันนำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Republican Sweep) มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญกับ Stagflation ในระยะยาวจากมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า มาตรการกีดกันแรงงานอพยพ และมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและครัวเรือน ที่คาดว่าจะส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะสั้น
• ขณะที่ หากพรรคเดโมแครตนำโดย คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Democratic Sweep) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยความเสี่ยงเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้ และการขาดดุลการคลังคาดว่าจะไม่สูงเท่ากรณีแรก
• หากไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา (Split Congress or Divided Government): ความเสี่ยง stagflation ยังมีอยู่ หากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 ยังไม่แน่นอน เนื่องจากนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการคลังอาจต้องใช้เวลากว่าจะผ่านมติสภา
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น