ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้พัฒนาดัชนีต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจ (Financial Condition Index: FCI) ขึ้น เพื่อวัดต้นทุนการระดมทุนในตลาดหลัก ทั้งการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ ตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ด้วยการพิจารณาความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย MLR ดัชนีตลาดหุ้น และดัชนีตราสารหนี้ โดย จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2553 พบว่า ดัชนี FCI ปรับลงจากเดือนมิถุนายน อันชี้ถึงต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนโดยรวมที่ปรับขึ้น และสะท้อนผลของการปรับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ที่นำโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 จนส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นตาม ขณะที่ การระดมทุนเชิงปริมาณในเดือนกรกฎาคม ผ่านทั้งตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น และการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ ก็ลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การลดลงของการระดมทุนเชิงปริมาณดังกล่าว น่าจะเป็นสถานการณ์เพียงชั่วคราว เพราะช่องทางหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นั้น น่าจะกลับมาเติบโตขึ้นได้ในช่วง 4-5 เดือนที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดระดับลง ปัญหาเกี่ยวกับโครงการลงทุนในบริเวณมาบตาพุดที่มีความชัดเจนมากขึ้น และการที่ภาครัฐเดินหน้าประมูลใบอนุญาต 3G ตามกำหนดการที่ตั้งไว้ น่าจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีความต้องการสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง
กระนั้นก็ดี เนื่องจากเป็นที่คาดหมายว่า ธปท.คงจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกในระยะที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า (หลังจากที่ตัดสินใจขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่สองในการประชุมวันที่ 25 สิงหาคม 2553) เพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นและน่าจะต้านทานความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ระดับหนึ่ง ดังนั้น ก็อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวไปในทิศทางขาขึ้นเช่นกัน แม้ว่าอาจด้วยลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว อาจกดดันให้ดัชนี FCI ลดความสดใสลง (นั่นคือ ปรับตัวลดลง และ/หรือเติบโตชะลอลง) พร้อมๆ กับย้ำเตือนอีกครั้งว่า ต้นทุนการระดมทุนในภาพรวมกำลังทยอยปรับขึ้นแล้ว
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น