ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ร้อยละ 1.75 ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 1 ธันวาคม 2553
โดยประเมินว่า ความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีน้ำหนัก แม้ดูเหมือนลดความน่ากังวลลง (หลังตัวเลขเศรษฐกิจยังปรับตัวในเกณฑ์ดี และเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า) ในขณะที่ ความเสี่ยงด้านเฟ้อคลายตัวลงในระยะสั้น น่าจะทำให้ กนง.ยังพอมีพื้นที่สำหรับการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ และรอประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยเสี่ยง (ไม่ว่าจะเป็น ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจคู่ค้าทั้งกลุ่ม G-3 และเอเชียที่นำโดยจีน ภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่ การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นคำตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์) ก่อนที่จะส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลสมดุลความเสี่ยงทั้งสองด้านและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่า กนง.มีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในไตรมาสแรกของปี 2554 เป็นอย่างเร็ว อย่างไรก็ดี จังหวะเวลาและความต่อเนื่องของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสู่ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น (Normalized) จะยังคงขึ้นอยู่กับพัฒนาการความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในแต่ละช่วงขณะเป็นสำคัญ
สำหรับประเด็นค่าเงินบาทและความไม่สมดุลในภาคอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หลังจากที่ทางการได้ออกมาตรการลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท และ ธปท.ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ (Loan to Value) ที่แม้จะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ในทันทีสำหรับมาตรการหลัง แต่การส่งสัญญาณดังกล่าว ก็น่าที่จะช่วยสนับสนุนให้ กนง.มีความยืดหยุ่นในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ และรอประเมินผลของการปรับตัวของภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น