ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) คงจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 3.25% มาอยู่ที่ 3.00% ในการประชุมรอบแรกของปีในวันที่ 25 มกราคม 2555 นี้ เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่า กนง.คงจะให้น้ำหนักกับความเสี่ยงเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่การฟื้นกลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ยังต้องใช้เวลา รวมทั้งความเสี่ยงภายนอกประเทศจากปัญหาหนี้ในยูโรโซนที่อาจจะลุกลามไปสู่ประเทศแกนหลักและภาคธนาคารที่มีความเชื่อมโยงกันสูง โดยยังคงมีความซับซ้อนของปัญหา และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจในยูโรโซนอาจประสบกับภาวะถดถอย ขณะที่สถาบันการเงินในยุโรปก็อาจจำเป็นต้องลดขนาดสินทรัพย์ (Deleveraging) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่า สถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรปที่ยืดเยื้อหรือถึงขั้นเลวร้ายจนยากเกินควบคุม ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกผ่านช่องทางการค้าและการลงทุน ไม่เว้นแม้กระทั่งไทย
ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่พัฒนาการของวิกฤตหนี้ในยูโรโซน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ยังยากที่จะประเมินได้อย่างชัดเจน ณ ขณะนี้ ผนวกกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในประเทศที่ยังรอเพิ่มแรงกดดันในระยะถัดไป (ผ่านนโยบายด้านพลังงานและค่าจ้างขั้นต่ำ รวมไปถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่แกว่งตัวอยู่ในเกณฑ์สูง) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.ในรอบการประชุมที่จะถึงและตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ คงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับ กนง. โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการหาจุดสมดุลหรือจังหวะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกำหนดทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนการสื่อสารถึงจุดยืนด้านนโยบายในการให้น้ำหนักความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ชัดเจน เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
สำหรับอัตราดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์นั้น นอกจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว คงจะขึ้นอยู่กับการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจหลักทั้งในตลาดสินเชื่อและเงินออมภายใต้สภาวะการแข่งขันที่ยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง ตลอดจนคงต้องติดตามประเด็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ อาทิ หลักเกณฑ์การกำกับดูแลตั๋วแลกเงิน และข้อสรุปประเด็นการจัดสรรเงินสมทบจากธนาคารพาณิชย์เพื่อชดเชยภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งจะมีผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงธนาคารพาณิชย์ อย่างยากจะหลีกเลี่ยง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น