ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในการประชุมวันที่ 5 กันยายน 2555 นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) อาจจะยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.00 (ด้วยมติการประชุมที่อาจจะไม่เป็นเอกฉันท์เช่นเดียวกับในการประชุมรอบก่อน) แม้ตระหนักถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อการขยายตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยคาดหวังแรงขับเคลื่อนจากกิจกรรมการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งจากภาครัฐในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ 2555 และการบริโภค-ลงทุนของภาคเอกชนที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ค่อนข้างดี ในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถรักษาแรงส่งของการขยายตัวไว้ได้ในระยะที่เหลือของปีนี้ ขณะเดียวกันก็รอติดตามพัฒนาการความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและท่าทีของธนาคารกลางชั้นนำต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินนโยบายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันยังถือเป็นระดับที่ค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ ด้านการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ทิศทางค่าเงินบาทก็นับว่ายังไม่น่าจะเป็นอุปสรรคสำหรับการรักษาความสามารถทางการแข่งขันของผู้ส่งออก เนื่องจากปรับตัวสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกพัฒนาไปในแนวทางที่เลวร้ายหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่คาด หรือหากเห็นว่าการส่งผ่านนโยบายการเงินไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงอาจต้องใช้เวลา กนง.ก็คงพร้อมที่จะทบทวนจุดยืนเพื่อให้นโยบายการเงินเอื้อต่อการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น อันจะทำให้การพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอาจมีความเป็นไปได้มากขึ้นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคต
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น