Display mode (Doesn't show in master page preview)

4 เมษายน 2550

ตลาดการเงิน

การลงทุนของต่างชาติในตลาดทุนไทย ... แนวโน้มชะลอตัวภายใต้สภาพแวดล้อมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 1962)

คะแนนเฉลี่ย
นับจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นใน
วันที่ 18 ธันวาคม 2549 เป็นต้นมา ธปท.ได้ทยอยผ่อนผันมาตรการดังกล่าว ตามลำดับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ว่า ธปท.จะได้มีการผ่อนปรนมาตรการดำรงเงินสำรองฯให้กับช่องทางการลงทุนในตลาดทุน ทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และหน่วยลงทุนจนครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่แนวโน้มการลงทุนของต่างชาติในตลาดทุนไทยน่าจะยังคงมีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป และเงื่อนไขต่างๆในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ อาทิเช่น ปัจจัยทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในปีนี้ และมีประเด็นที่ต้องติดตามและพิจารณาให้รอบคอบหลายด้าน ตลอดจน ปัจจัยต่างๆที่กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่ลดลงและความไม่มั่นใจในนโยบายเศรษฐกิจและการออกกฎหมายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การออกร่างพ.ร.บ.ต่างด้าว และพ.ร.บ.ค้าปลีก ซึ่งนำไปสู่การชะลอตัวของการลงทุนของต่างชาติ ความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่างๆเพิ่มเติมของธปท.เพื่อดูแลค่าเงินบาท ตลอดจน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศที่อยู่ในช่วงขาลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่า ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปที่ร้อยละ 3.75 ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่างประเทศ โดยแนวโน้มของส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมจะเป็นการลดแรงจูงใจที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยเมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมา เงื่อนไขต่างๆในการนำเงินเข้ามาลงทุนตามที่ ธปท.ได้ระบุไว้ เช่น การที่ให้ต้องแยกเงินที่จะนำเข้ามาลงทุนในบัญชีต่างๆตามวัตถุประสงค์เฉพาะ และการที่ไม่ให้มีการโอนเงินจากบัญชีที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะประเภทหนึ่งไปยังประเภทอื่น โดยมองว่าการที่ไม่ไห้มีการโอนเงินข้ามบัญชีระหว่างหลักทรัพย์แต่ละประเภท อาจส่งผลกระทบต่อความคล่องตัวในการปรับพอร์ตการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา และอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุน นอกจากนั้น การเพิ่มทางเลือกให้กับเงินลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุนสามารถเลือกทำการป้องกันความเสี่ยงแบบเต็มจำนวน (Fully Hedged) แทนการกันสำรองร้อยละ 30 ได้นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยจำกัดโอกาสเก็งกำไรในค่าเงินบาท แต่การที่นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนที่เคยได้รับในปีก่อน ย่อมจะเป็นการลดแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนได้เช่นกัน นอกจากนั้น การกำหนดให้การทำสัญญาคุ้มครองความเสี่ยงดังกล่าวเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือนสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้และหน่วยลงทุน ย่อมจะส่งผลต่อความคล่องตัวในการลงทุน เว้นแต่ในกรณีที่นักลงทุนต่างชาติตั้งใจที่จะลงทุนในระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนโดยไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจัยจากภายนอกประเทศ เช่น ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา การปรับวีธีการคำนวณดัชนี MSCI ใหม่ซึ่งจะทำให้น้ำหนักการลงทุนในไทยลดลง ตลอดจน การปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัทโบรกเกอร์ต่างประเทศ อันจะกระทบต่อสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยได้และมีส่วนที่ทำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เป็นต้น
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในขณะนี้ ศูนย์วิจัย
กสิกรไทยมองว่า การที่จะเรียกให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมาเพิ่มขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยควบคู่กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยระยะเวลาและการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดหุ้นนั้น การที่ดัชนีปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาทำให้ ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งอาจจะช่วยหนุนให้มีแรงซื้อของต่างชาติกลับเข้ามาได้ หากปัจจัยที่ต่างๆที่กล่าวข้างต้นมีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคงจะได้แก่ เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ เช่น การมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยเรียบร้อยภายในปีนี้ โดย
การที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ระบุเมื่อเร็วๆนี้ถึงวันเลือกตั้งที่เหมาะสมว่าอาจจะเป็นวันที่ 16 หรือ
23 ธันวาคม นี้ ได้เป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากนั้น ปัจจัยอื่นๆที่คาดว่าจะช่วยหนุนการลงทุนของต่างชาติในระยะต่อไป เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศของ ธปท. โดยนักลงทุนคงจะให้ความสนใจว่าในการประชุมนโยบายการเงินครั้งต่อไป ธปท.จะมีการตัดสินใจในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเช่นไร ซึ่งหากว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้หรือมากกว่า ย่อมจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น นโยบายต่างๆของทางการที่แสดงถึงบรรยากาศในการลงทุนที่เป็นมิตรต่อต่างชาติ เช่น ท่าทีของ ธปท.ในการทยอยผ่อนคลายมาตรการดำรงเงินสำรองฯในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับความเป็นไปได้ที่คงจะมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวในระยะต่อไป นอกจากนั้น ท่าทีของรัฐบาลในการไม่นำ พ.ร.บ.การบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ และการบรรลุข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่าง ไทย-ญี่ปุ่น ล้วนแต่เป็นการส่งสัญญาณในเชิงบวกต่อการลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยในระยะยาว มาตรการสนับสนุนจากทางการในการเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทย ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญเช่นกันเช่น การออกมาตรการลดภาษีให้กับบริษัทจดทะเบียนใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รวมไปถึง แนวคิดในการพิจารณาลดภาษีธุรกิจเฉพาะที่เก็บจากกำไรที่เกิดจากการซื้อขายตราสารหนี้ และแนวคิดของตลาดหลักทรัพย์ในการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 เป็นต้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


ตลาดการเงิน