- ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงท้ายสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มแบงก์ ซึ่งประเมินว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ดีหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์ดังกล่าวปรับตัวได้ดีสวนทางภาพรวม
ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในเวลาต่อมา หลังตลาดประเมินว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น ก่อนจะกลับไปร่วงลงแรงหลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 เม.ย. เป็นต้นไป) ซึ่งไทยถือว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นทุกกลุ่มเพื่อลดสถานะความเสี่ยง ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ 1,122.51 จุด อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นไฟแนนซ์ปรับตัวได้สวนทางภาพรวมตลาด เนื่องจากมีการคาดการณ์ถึงโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทย
- ในวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,125.21 จุด ลดลง 4.27% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,223.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.04% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.91% มาปิดที่ระดับ 238.26 จุด
- สัปดาห์ถัดไป (8-11 เม.ย. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,110 และ 1,100 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,135 และ 1,150 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. บันทึกการประชุมเฟด (18-19 มี.ค.) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. ของจีน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนก.พ. ของยูโรโซน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น