เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนแถลงว่าประเทศจีนเตรียมใช้ Absolute Emissions Caps ในปี 2027 นับเป็นมาตรการที่เข้มงวดและเร่งลดการปล่อยคาร์บอน อีกทั้งยังเตรียมพัฒนาระบบ ETS อย่างครบวงจรภายในปี 2030 มาตรการนี้จะครอบคลุมกว่า 60% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งประเทศจีน รวมถึงอุตสาหกรรมหลักของจีน ซึ่งไทยมีการค้าร่วมด้วยเช่นเหล็กและอลูมิเนียม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามาตรการดังกล่าวอาจยังไม่กดดันผู้ประกอบการจีนและคู่ค้าในระยะสั้น จากการแจกสิทธิปล่อยคาร์บอน (Carbon Allowances) ฟรีจำนวนมาก และระบบการรายงานที่ผ่อนปรนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยหลังการประกาศมาตรการดังกล่าว ราคาซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบ ETS จีนปรับลดลง และอยู่ต่ำกว่าระบบ EU ETS ถึง 9.6 เท่า เนื่องจากตลาดคลายความกังวลว่ามาตรการใหม่จะเข้มข้นและลด Carbon Allowance ในตลาดทันที ประกอบกับรายละเอียดมาตรการยังไม่ชัดเจน
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวผู้ประกอบการจีนและคู่ค้าจีนอาจเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หากราคาซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการที่รัฐบาลจีนเดินหน้าเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา จีนให้ความสำคัญและเร่งลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น สะท้อนจาก 1) ยอดออกตราสารหนี้ ESG จีนที่แซงหน้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาครัฐและ Transition Bond (ตราสารหนี้เพื่อการเปลี่ยนผ่าน) และ 2) สัดส่วนพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 38.1% ในปี 2024
หากรัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการ Absolute Emissions Caps อย่างเข้มงวด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองอุปสงค์และราคาซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบ CHINA ETS อาจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2030 เนื่องจากปริมาณ Carbon Allowances ในตลาดลดลง และผู้ผลิตไม่สามารถปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิตที่ขยายตัวได้
นักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่าราคาซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบ ETS จีนอาจสูงขึ้น 3 เท่าในปี 2035 และ CHINA ETS อาจเป็นตลาดซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักแทน EU ETS จากปริมาณการปล่อยคาร์บอนของจีนที่สูงถึง 1 ใน 3 ของโลก
ผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายกับจีนอาจต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการนี้ เพราะหากมาตรการนี้ได้ผลจริง ผู้นำเข้าโดยเฉพาะกลุ่มเหล็กและอลูมิเนียมอาจเจอราคานำเข้าที่สูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุน ซึ่งไทยนำเข้าเหล็กจากจีนราว 44% ของปริมาณนำเข้าเหล็กทั้งหมดในปี 2024
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น