Display mode (Doesn't show in master page preview)

4 เมษายน 2568

Econ Digest

Reciprocal Tariffs จีนถูกเก็บภาษีรวมสูงสุด กระทบเศรษฐกิจจีนปี 2568 เติบโตต่ำกว่าคาดการณ์เดิม 1%

คะแนนเฉลี่ย
  • สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับจีนที่ 34% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เม.ย.2568 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เก็บจากจีนสูงถึง 75% (รูปที่ 1) นอกจากนี้ สหรัฐฯ เตรียมยกเลิกข้อยกเว้นภาษีนำเข้ากับสินค้าสินค้าขั้นต่ำที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (De Minimis) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 พ.ค. 2568   
  • ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษี Trump 2.0 ต่อเศรษฐกิจจีนคาดรุนแรงกว่า Trump 1.0 แม้ในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกของจีนได้ปรับตัวจากสงครามการค้าในช่วง Trump 1.0 จากที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ 20% ของการส่งออกจีนในปี 2561 ลดลงมาอยู่ที่ 15% ในปี 2567 แต่ด้วยรูปแบบการเก็บภาษีที่ทยอยเผยออกมายิ่งทวีแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนรอบด้าน ดังนี้

1.    อัตราภาษีรอบนี้ปรับขึ้นเร็วและแรง นับจากต้นปีถึงปัจจุบันรวมแล้วปรับขึ้นมาอยู่ที่ 54% ประกอบด้วยการเก็บภาษี 10% และ 10% เมื่อวันที่ 4 ก.พ. และ 4 มี.ค. 2568 จากข้อกล่าวหาเรื่องเฟนทานิล  และ Reciprocal Tariff 34% ซึ่งรวมแล้วสูงกว่าในช่วง Trump 1.0 ที่การขึ้นภาษีรวมมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20% ตลอดการดำรงตำแหน่ง 4 ปี

2.    การเก็บภาษีครอบคลุมทุกสินค้า ซึ่งต่างจากรอบก่อนที่เก็บบางรายการสินค้า (รูปที่ 2) โดยเฉพาะสินค้าที่ยังไม่เคยถูกจัดเก็บภาษีในกลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumer goods) เช่น โน้ตบุ๊ค และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่สินค้าที่เคยถูกเก็บภาษีมาตั้งแต่ Trump 1.0 ส่วนใหญ่มีการปรับตัวกระจายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงไปแล้ว  

3.    การบังคับใช้รอบนี้มีผลทันทีในทุกกลุ่มสินค้า ขณะที่รอบก่อนเป็นการทยอยปรับขึ้นภาษีแบ่งเป็นลิสต์รายการสินค้า มีเวลาให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม รวมระยะเวลาการปรับขึ้นภาษีทั้งหมดใช้เวลากว่า 1 ปี

4.    การประกาศขึ้นภาษีครอบคลุมทุกประเทศ ทำให้การปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Rerouting) ของจีนโดยใช้ประเทศที่สามเพื่อผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ ทำได้ยากขึ้น ต่างจากครั้งก่อนที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับจีนเป็นหลัก

  • หลังสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีทางการจีนออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกการปรับขึ้นภาษีดังกล่าว พร้อมระบุว่าจะมีมาตรการตอบโต้ แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม ขณะที่แนวโน้มการเจรจาคาดยังไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนประกาศปรับขึ้น Reciprocal Tariffs ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่าจะพิจารณาปรับลดภาษีให้จีน หากจีนยินยอมให้สหรัฐฯ เข้าซื้อแพลตฟอร์ม Tiktok ของบริษัท ByteDance  ในสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้จะครบกำหนดที่สหรัฐฯ ได้เลื่อนระยะการแบนในวันที่ 5 เม.ย.2568 นี้ ซึ่งยังต้องติดตามรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานาธิบดีจีนมีโอกาสที่จะพบกันในงานการประชุมสุดยอดวันเกิด  (Birthday Summit) ที่มีการหารือว่าจะมีจัดขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย.2568 เนื่องจากวันเกิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจีนอยู่ในเดือนมิ.ย. เช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีรายละเอียดและเวลาที่ชัดเจน
  • เมื่อพิจารณาแนวทางการตอบโต้ของจีนในการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รอบที่ผ่านมาคาดว่าทางการจีนจะใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อตอบโต้เป็นหลัก เช่น การเพิ่มบริษัทสหรัฐฯ เข้า Blacklist หรือห้ามส่งออกสินค้าสำคัญ เป็นต้น นอกจากนี้ ทางการจีนมีแนวโน้มที่จะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการลงทุนในเทคโนโลยี และสนับสนุนการใช้จ่าย โดยในไตรมาส 2/2568 คาดว่าจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับลดสัดส่วนเงินสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ (RRR) รวมถึงเร่งออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาวเข้ามาหนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ หรืออาจจะมีการเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรเพิ่มเติม 
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างมาก โดยผลกระทบจะชัดเจนขึ้นหลังเก็บภาษีตอบโต้ในไตรมาส 2/2568 โดยผลทางตรงการส่งออกจากจีนไปสหรัฐฯ คาดปรับลดลงถึง 1 ใน 4 ผลทางอ้อมจากการลดลงของส่งออกสินค้าเพื่อการผลิตไปยังประเทศที่สามเพื่อทำตลาดสหรัฐฯ และการชะลอตัวของกำลังซื้อทั่วโลกทำให้ผลบวกจากการจีนระบายสินค้าที่ล้นตลาดไปยังประเทศอื่นทำได้จำกัด ทำให้การส่งออกของจีนทั้งปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวอย่างน้อย 3% ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยประเมินเดิมประมาณ 1% มาอยู่ที่ 3.6% โดยตัวแปรสำคัญยังขึ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน 

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น