Display mode (Doesn't show in master page preview)

11 มิถุนายน 2568

Econ Digest

ปี 2568 ภาพรวมรายได้ ธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำไทยยังคงเติบโต

คะแนนเฉลี่ย
  • ในปี 2568 รายได้รวมของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำคาดว่าจะเติบโตราว 0.6% ได้รับแรงหนุนจากน้ำประปา (+0.7%) และน้ำอุตสาหกรรม (+8.4%) ขณะที่รายได้จากน้ำดิบคาดว่าจะลดลง       (- 5.2%) จากปีก่อนหน้า
  • รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะโต 0.7% ในปี 2568 จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 8.4% จากปริมาณการจำหน่ายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น
  • อย่างไรก็ดี น้ำดิบเป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่รายได้จากการจำหน่ายในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าจะหดตัวราว 5.2% จากอุปสงค์ที่ลดลงของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตลาดหลักและมีราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค  

ภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำ
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำในปัจจุบัน รายได้จากการขายน้ำประปามีสัดส่วนสูงสุด อยู่ที่ราว 56% รองลงมาคือน้ำดิบที่ราว 24% และน้ำอุตสาหกรรมที่ราว 20%
ในปี 2568 รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์น้ำทุกประเภทคาดกว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% 
แรงหนุนหลักมาจาก รายได้จากการขายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การลดลงของรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของรายได้ในภาพรวม

ผู้จำหน่ายน้ำประปา
การจำหน่ายน้ำประปาโดยบริษัทเอกชนเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับ สัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งจะมีการกำหนดพื้นที่ ระยะเวลา และเงื่อนไขการให้บริการ ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการธุรกิจน้ำประปามักอยู่ในระดับสูง (มากกว่า 60% ) ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนสนใจเข้ามาลงทุนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมืองนอกกรุงเทพฯ
ปริมาณการจำหน่ายน้ำประปาจากบริษัทเอกชนในปี 2568 คาดว่าจะโต 0.5% (รูปที่ 2)
จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง 
 
การขยายตัวของเขตพื้นที่ชุมชนเมือง และจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณขายน้ำประปายังคงมีแนวโน้มเติบโต อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ธุรกิจอาจได้รับแรงกดดันจาก จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะหดตัวราว 2.8%  ทำให้ความต้องการใช้น้ำประปา โดยเฉพาะจากภาคบริการในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวมีทิศทางลดลง 
รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในปี 2568 (รูปที่ 3)
จากปริมาณขายที่ยังคงเติบโต และราคาขายที่ปรับขึ้นตามสัญญาสัมปทานของรัฐวิสาหกิจ 
โดยสัญญาสัมปทานน้ำประปามักกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปรับราคาขายขึ้นได้ทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ทิศทางรายได้ของธุรกิจน้ำประปาในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 
อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายได้ธุรกิจน้ำประปาไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2566 อยู่ราว 19.8% เนื่องจาก หนึ่งในโครงการของผู้ผลิตน้ำประปาเอกชนรายใหญ่หมดสัญญาสัมปทาน ในช่วงปลายปี 2566และถูกเปลี่ยนเป็นระบบสัญญาจ้างบริหารจัดการผลิตน้ำประปา ซึ่งมีราคารับซื้อที่ต่ำกว่าสัญญาเดิม

ผู้จำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม
ปริมาณการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.6% ในปี 2568 (รูปที่ 4)
จากการขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่สู่ตลาดน้ำอุตสาหกรรม
การขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่จากการให้บริการน้ำดิบเพียงอย่างเดียว สู่การให้บริการน้ำอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น ทั้ง น้ำเพื่ออุตสาหกรรมทั่วไป และน้ำมูลค่าเพิ่ม  ส่งผลให้ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมบางราย โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็ก ที่มีความต้องการใช้น้ำเฉพาะทาง หันมาซื้อน้ำอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตโดยตรงเพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบไปแปรรูปเอง 
 
รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 8.4% ในปี 2568 (รูปที่ 5)
จากปริมาณขายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น 
ราคาขายเฉลี่ยของน้ำอุตสาหกรรมในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.8% โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงกว่าน้ำอุตสาหกรรมทั่วไปไม่น้อยกว่า 25% โดยสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เปลี่ยนจากที่อยู่เพียง 5% ของปริมาณขายน้ำอุตสาหกรรมทั้งหมด ในปี 2563 เป็นมากกว่า 15% ในปี 2567
อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณขายและรายได้จะเติบโต แต่การขยายตัวของธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลัก  ยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งสงครามการค้าและภาวะอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีน 

ผู้จำหน่ายน้ำดิบ
ผู้จำหน่ายน้ำดิบแบ่งลูกค้าออกได้เป็น 2 ตลาดหลัก
1)    การขายให้ภาคอุตสาหกรรม (60% – 70% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่โรงงานและผู้ให้บริการน้ำในนิคมฯ โดยอัตราค่าน้ำดิบในกลุ่มนี้จะเริ่มต้นที่ประมาณ 11.50  บาท/ลบ.ม.
2)    การขายให้ภาคอุปโภคบริโภค (30% - 40% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่การประปาฯ ซึ่งนำน้ำดิบไปผลิตเป็นน้ำประปาเพื่อจำหน่ายต่อ โดยอัตราค่าน้ำดิบจะอยู่ที่ราว 9.90  บาท/ลบ.ม.

ปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทเอกชนคาดว่าจะลดลง 4.5% ในปี 2568 (รูปที่ 6)
ปัจจัยกดดันหลักมาจากความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง แม้ภาคอุปโภคบริโภคจะยังคงโต
 
ความต้องการมีแนวโน้มลดลงตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะปรับลดลงกว่า 3.4%  เป็นผลมาจากสงครามการค้า ที่ส่งผลให้ภาคการผลิตและส่งออกสินค้าลดลง โดยเฉพาะในกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้น้ำดิบสูง นอกจากนั้น พฤติกรรมของลูกค้าบางรายที่เปลี่ยนไปซื้อน้ำอุตสาหกรรมโดยตรง เพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบมาแปรรูปเอง ก็ส่งผลกดดันปริมาณการขายน้ำดิบอีกเช่นกัน
ดังนั้น แม้ปริมาณการขายน้ำดิบให้ภาคอุปโภคบริโภคจะยังมีทิศทางเติบโต ตามความต้องการใช้น้ำประปาภาครัฐที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มากพอที่จะหนุนภาพรวมปริมาณการขายน้ำดิบในปี 2568 ให้โตได้

รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำดิบคาดว่าจะลดลง 5.2% ในปี 2568 (รูปที่ 7)
จากอุปสงค์ที่หดตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีปริมาณและราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภคโดยรายได้ต่อหน่วยจากการขายให้ภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค มากกว่า 16% 

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์น้ำไทยในระยะกลางถึงยาว

  • กระบวนการบำบัดน้ำเสียแบบ Zero Liquid Discharge (ZLD) ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรายใหญ่ เนื่องจากเทคโนโลยี ZLD สามารถบำบัดน้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบทั้งหมด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปริมาณการซื้อน้ำจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาจปรับลดลงในอนาคต ทั้งนี้ มูลค่าตลาด ZLD ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.3 พันล้านในปี 2566 ไปสู่ 10.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2575 หรือโตเฉลี่ยที่ 5.5% ต่อปี 
  • ความเสี่ยงด้านสัญญาสัมปทานและการกำกับดูแลจากภาครัฐ โดยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจน้ำประปาภาคเอกชนขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนบทบาทของเอกชนในระบบสาธารณูปโภคเป็นสำคัญ เนื่องจากการขยายพื้นที่ให้บริการต้องอยู่ภายใต้การอนุมัติหรือประมูลสัมปทานจากภาครัฐเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครบกำหนดสัมปทานเดิม บริษัทอาจไม่ได้รับการต่อสัญญาหรืออาจถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขซึ่งอาจส่งผลให้รายได้และปริมาณจำหน่ายลดลง 

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest