Display mode (Doesn't show in master page preview)

3 ธันวาคม 2568

Econ Digest

เงินเฟ้อไทยเดือนพ.ย. 2568 ติดลบเป็นเดือนที่ 8 ที่ -0.49%YoY ปี 2569 คาดการณ์เงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกที่ 0.4%

คะแนนเฉลี่ย
o อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนพ.ย. 2568 อยู่ที่ -0.49%YoY ยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยฝั่งอุปทานยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก ขณะที่ฝั่งอุปสงค์เข้ามาช่วยหนุนเล็กน้อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 
• ดัชนีราคาพลังงานที่ปรับลดลง -6.1%YoY เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อติดลบในเดือนนี้ โดยมีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลง (contribution to inflation) -1.5%YoY ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงมากกว่าคาด และมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านการปรับลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศของรัฐบาล เป็นปัจจัยหลักที่ฉุดให้เงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 ของปีหดตัวจากที่เคยมองว่าจะพลิกกลับมาขยายตัวได้เล็กน้อย (รูปที่ 1) 
• อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับเพิ่มขึ้นที่ 0.66%YoY ในเดือนพ.ย. 2568 และผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง โดยราคาสินค้าหลายรายการยังปรับเพิ่มขึ้น อาทิ อาหารสำเร็จรูป ยา ค่าเช่าบ้าน เป็นต้น โดยทั้งปี 2568 คาดเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8% 
• มาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล (Quick Big Win) อาทิ คนละครึ่งพลัส เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เที่ยวดีมีคืน ช่วยสนับสนุน อุปสงค์และพยุงเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเล็กน้อย โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ “เชื่อมั่น” หรือสูงกว่า 50 เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ 51.8 ขณะที่ดัชนีราคาอาหารและเครื่องดื่มไม่รวมแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน 
o ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ -0.1% ในปี 2568 โดยในช่วง 11 เดือนแรกเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.12%YoY และแนวโน้มเดือนสุดท้ายของปีคาดว่าจะยังติดลบต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากฐานราคาผักและผลไม้ที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด สะท้อนจากสัดส่วนรายการสินค้าที่ราคาปรับลดลงในตระกร้าเงินเฟ้อขยายวงกว้างมากขึ้นที่ 41.2% จากเดือนก่อนหน้าที่ 40.7% ของรายการทั้งหมดของสินค้าในตระกร้าเงินเฟ้อ (รูปที่ 2) 
o สำหรับปี 2569 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกที่ 0.4% โดยปัจจัยกดดันด้านต่ำในฝั่งอุปทานคาดว่าจะมีลดลงจากราคาผักและผลไม้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำสำหรับการเพาะปลูกอาจลดลงเมื่อเทียบกับปี 2568 โดยองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) คาดการณ์ ณ เดือนพ.ย.2568 ว่า สภาพภูมิอากาศโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะปกติ (Neutral) มากขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2569 เป็นต้นไป หลังจากปี 2568 ปรากฎการณ์ลานีญาส่งผลให้ปริมาณน้ำมากซึ่งเอื้อต่อการเพาะปลูก อีกทั้ง ช่วงครึ่งหลังของปีมีโอกาสพัฒนาเกิดเป็นเอลนีโญ ซึ่งอาจกระทบปริมาณน้ำและผลผลิตทางการเกษตรให้ลดลง (รูปที่ 3) 
o อย่างไรก็ดี ราคาพลังงานยังมีแนวโน้มปรับลดลงแต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่าปีก่อนหน้า โดยราคาน้ำมันโลกยังถูกกดดันจากอุปทานที่ล้นตลาดตามนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ประกอบกับอุปสงค์โลกที่อ่อนแอ แต่คาดว่าในภาพรวมราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2569 จะยังทรงตัวอยู่ที่ราว 60 ดอลลาร์/ บาร์เรล นอกจากนี้ รัฐบาลคาดว่าจะยังดำเนินมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพ แต่เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศมีการปรับลดต่อเนื่องในปี 2568 ส่งผลให้การปรับลดเพิ่มเติมต่อในปี 2569 อาจไม่มากนัก โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีสถานะติดลบที่ -12,346 ล้านบาท (ณ เดือนพ.ย. 2568) ปรับลดลงจากช่วงต้นปีที่ -75,948 ล้านบาท ขณะที่ค่าไฟฟ้าในเดือนม.ค. - เม.ย. 2569 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.88 บาทต่อหน่วย (-6.5% YoY) 
o นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยมากขึ้น ขณะเดียวกัน การแข่งขันด้านราคาอาจรุนแรงขึ้นทั้งระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและผู้ผลิตจากจีน ขณะที่มาตรการยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท (De minimis) อาจมีผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าราคาถูก อาทิ สินค้าเบ็ดเตล็ด เสื้อผ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ปรับเพิ่มขึ้น

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น