ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม:
สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หลังมาตรการตอบโต้ทางภาษีรอบใหม่ระหว่างกันมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามปัจจัยเสี่ยงจาก Brexit การเมืองในอิตาลี การผิดนัดชำระหนี้ของอาร์เจนตินา รวมถึงการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจในประเทศที่นักลงทุนอาจรอติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค.
เงินบาทตลาดในประเทศอ่อนค่าลงเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ก่อน (30 ส.ค.) สอดคล้องกับแรงขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนเช้าวันนี้ (2 ก.ย.) เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 30.61-30.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ** โดยนักลงทุนรอประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าของทั้งสหรัฐฯ และจีน มีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นไทยปิดบวก สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ประกอบกับมีแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
ตลาดหุ้นต่างประเทศปิดปะปน โดยรวมตลาดหุ้นฝั่งเอเชียมีแรงหนุนจากความคาดหวังว่าสหรัฐฯ และจีนอาจกลับมาเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างกัน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีน ยังคงปรับตัวลง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง เนื่องจากตลาดรอประเมินสถานการณ์ หลังมาตรการทางภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯ และจีนมีผลบังคับใช้
ราคาน้ำมันปิดลบเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า เนื่องจากตลาดกลับมามีความกังวลต่อสงครามการค้าและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่ราคาทองคำลดลงต่อเนื่อง หลังจากเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น
ที่มา: ธปท., Bisnews, www.bloomberg.com รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
หมายเหตุ: *อัตราอ้างอิงจากธปท. **ข้อมูล ณ เวลา 8.25 น.
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น