• ในปี 2568 คาดว่า อุปทานเนื้อสุกรลดลง 2.4% ตามจำนวนสุกรเลี้ยงที่ลดลง เนื่องจากมาตรการปรับลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรและผลกระทบโรคระบาด แม้ว่าราคาอาหารสัตว์จะมีแนวโน้มลดลง อาทิเช่น ปลายข้าว กากถั่วเหลือง และปลาป่น โดยอุปทานเนื้อสุกรจะมาจากผู้ผลิตสุกรรายกลาง-ใหญ่เป็นสำคัญ ในขณะที่ผู้ผลิตสุกรรายย่อยจะลดบทบาทลง
• อุปสงค์เนื้อสุกรปี 2568 คาดว่าลดลง 1.7% ตามราคาเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก จะกดดันความต้องการของผู้บริโภคไทย ในขณะที่ผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่ายังเติบโตได้ ทำให้ภาพรวมการบริโภคเนื้อสุกรในประเทศลดลงไม่มากนัก
แนวโน้มอุปทานและอุปสงค์เนื้อสุกรไทย
อุปทานเนื้อสุกรไทย
ปี 2568 คาดว่า อุปทานเนื้อสุกรไทยลดลง 2.4% ตามจำนวนสุกรมีชีวิตที่ลดลงราว 5 แสนตัว (รูปที่ 2) จากมาตรการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรและโรคระบาด แม้ราคาอาหารสัตว์จะปรับลดลง
อุปทานเนื้อสุกรไทยลดลง เนื่องจากมาตรการภาครัฐที่ต้องการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรในฟาร์มขนาดใหญ่ และผลของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรหรือ ASF ที่อาจสร้างความเสียหายในบางพื้นที่ (แต่ไม่รุนแรงเท่าปี 2565)
อย่างไรก็ดี ด้วยราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีแนวโน้มลดลง ทั้งปลายข้าว กากถั่วเหลือง และปลาป่น ตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในแหล่งผลิตหลัก โดยในเดือนแรกของปี 2568 ปลาป่นมีราคาเฉลี่ยลดลงมากถึง 24% ตามด้วยกากถั่วเหลืองที่มีราคาเฉลี่ยลดลง 21% (รูปที่ 3) จึงทำให้ภาพรวมอุปทานเนื้อสุกรในปีนี้ปรับลดลงไม่มาก
จำนวนสุกรเลี้ยงของไทยฟื้นกลับมาเทียบเท่าก่อน ASF โดยมาจากผู้เลี้ยงรายใหญ่มากขึ้น ในขณะที่ผู้เลี้ยงรายย่อยทยอยลดจำนวนลง
โดยในปี 2567 จำนวนสุกรเลี้ยงมีถึง 21 ล้านตัว สะท้อนถึงระดับอุปทานสุกรที่เต็มกำลังการผลิต ซึ่งอุปทานสุกรส่วนใหญ่จะมาจากผู้เลี้ยงรายกลาง-ใหญ่มากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 72% ของผลผลิตสุกรในปี 2564 เป็น 75% ในปี 2567 (รูปที่ 4) ขณะที่ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยบางส่วนยังเผชิญภาวะขาดทุนสะสมจากผลของ ASF จนต้องเลิกกิจการ โดยในปี 2567 มีการขาดทุนเฉลี่ยถึง 8 บาทต่อกิโลกรัม
อุปทานเนื้อสุกรของไทยยังเป็นไปเพื่อการบริโภคในประเทศเกือบทั้งหมด เนื่องจากเนื้อสุกรของไทยยังมีราคาสูงกว่าผู้ผลิตรายสำคัญของโลก เช่น สเปน สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น จึงทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ (รูปที่ 5) ขณะเดียวกัน ตลาดเนื้อสุกรในประเทศก็ได้รับการปกป้องจากกฏหมายควบคุมการนำเข้าสุกรและผลิตภัณฑ์สุกร ทำให้ผู้ผลิตเนื้อสุกรมักเลือกทำตลาดในประเทศเป็นหลัก
อุปสงค์เนื้อสุกรไทย
ในปี 2568 คาดว่า อุปสงค์เนื้อสุกรไทยลดลง 1.7% จากปริมาณ 1.61 ล้านตัน มาอยู่ที่ 1.58 ล้านตัน (รูปที่ 6) ตามราคาเนื้อสุกรที่ปรับเพิ่มขึ้น 3.1%
เมื่อราคาเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคไทยมักบริโภคเนื้อสุกรลดลง (รูปที่ 7) ทำให้ราคาเนื้อสุกรไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (รูปที่ 8) จะส่งผลต่ออุปสงค์จากผู้บริโภคไทยให้ลดลง
ขณะที่ในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีส่วนต่อการบริโภคอาหารที่รวมถึงเนื้อสุกร โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 จะยังขยายตัวได้ ก็อาจเป็นแรงหนุนส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพรวมอุปสงค์เนื้อสุกรของไทยลดลงไม่มากนัก
การส่งออกเนื้อสุกรไทย
ปี 2568 คาดว่า ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งของไทยจะเติบโตราว 4.9% (รูปที่ 9) โดยได้แรงหนุนจากความต้องการในตลาดส่งออกหลักอย่างฮ่องกง ที่นำเข้าจากไทยมากขึ้นในจังหวะที่แหล่งนำเข้าหลักอย่างจีนมีผลผลิตสุกรลดลงและมีราคาขายสุกรที่สูงกว่าไทย
อย่างไรก็ดี ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งของไทยยังน้อยมาก เนื่องจากสุกรของไทยส่วนใหญ่ยังเผชิญปัญหาโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD: Foot and Mouth Disease) จึงยังเป็นข้อจำกัดในการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ของไทย
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเนื้อสุกรในระยะข้างหน้า
คาดว่า อุปทานคงเพิ่มได้ยาก และอุปสงค์คงโตได้จำกัด
ปัจจัยกดดันอุปทาน
- ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะต้นทุนจัดการฟาร์ม (Biosecurity) เพื่อให้ได้มาตรฐานที่ปลอดจากโรค ASF นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่ไทยยังต้องนำเข้าในบางรายการหลัก เช่น กากถั่วเหลือง จะทำให้ราคามีความไม่แน่นอนสูง กระทบต่อปริมาณการผลิตสุกร โดยเฉพาะในเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย
- ความเสี่ยงจากการเปิดเสรีการค้า โดยเฉพาะหากไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำและราคาถูกกว่าเนื้อสุกรในประเทศ จะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง
ปัจจัยกดดันอุปสงค์
- จำนวนประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง โดยประชากรไทยได้ลดจำนวนลงตั้งแต่ปี 2563 มาอยู่ที่ 66.2 ล้านคน และลดต่อเนื่องมาในปี 2567 อยู่ที่ 65.95 ล้านคน กดดันการบริโภคเนื้อสุกร โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า การบริโภคเนื้อสุกรของไทยอาจโตได้ต่ำที่ 0.6% ต่อปี
- จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และคาดว่าในปี 2572 ไทยจะเป็น Super-Aged Society ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคเนื้อสุกรลดลง เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่บริโภคเนื้อสุกรน้อย ทั้งปริมาณและความถี่ต่อสัปดาห์ โดยผู้สูงอายุบริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยลดลงเหลือ 38 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เทียบกับคนวัยทำงานที่บริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยอยู่ที่ 49 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น