Display mode (Doesn't show in master page preview)

3 ธันวาคม 2562

K SME Analysis

ตลาดค้าปลีก อินเดีย โอกาสทำเงิน SME ไทย

คะแนนเฉลี่ย
ตลาดค้าปลีก อินเดีย โอกาสทำเงิน SME ไทย ​ ภาคค้าปลีกของอินเดียเติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยมีมูลค่าตลาด 9.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียที่เติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลกต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยในปี 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 6.8 มีตลาดขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรอันดับ 2 ของโลกที่ 1,373 ล้านคน (รองจากจีน) และมีรายได้ประชากรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,016 ดอลลาร์ฯ/คน/ปี (ของไทยอยู่ที่ 7,084 ดอลลาร์ฯ/คน/ปี) นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในระยะข้างหน้า อันเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับสินค้า SME ไทยที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดียได้ ขณะเดียวกันโครงสร้างประชากรก็ยังเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก โดยอายุเฉลี่ยของชาวอินเดียอยู่ที่เพียง 28 ปี อีกทั้งสัดส่วนจำนวนประชากรเมือง (Urban Population) ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 34% ของจำนวนประชากรทั้งหมด กล่าวคืออินเดียมีประชากรเมืองและมีกำลังซื้อถึง 400 กว่าล้านคน ขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2568 จะขยับขึ้นมาที่ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านคน สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตของการบริโภคและโอกาสของธุรกิจค้าปลีกที่น่าจับตา
 

ภาคค้าปลีกในอินเดียยังคงเน้นหนักไปที่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า Kirana คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 88 ของมูลค่าธุรกิจค้าปลีก ทั้งยังกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ จำหน่ายสินค้าในราคาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวอินเดียที่ในภาพรวมยังมีรายได้ไม่สูงนัก ทำให้การนำสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปจำหน่ายผ่านช่องทางนี้คงต้องแข่งขันด้านราคาอย่างหนักกับสินค้าท้องถิ่น ขณะที่ทางการอินเดียเริ่มปลดล็อคให้ต่างชาติรายใหญ่เข้ามาประกอบธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียได้ตั้งแต่ปี 2555 ธุรกิจต่างชาติเข้าไปขยายธุรกิจนำโดย Walmart, GAP, Tesco และ JC Penney ผลักดันให้ค้าปลีกสมัยใหม่เติบโตรวดเร็วจนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 9 แต่ยังต้องใช้เวลากว่าจะขยายตัวไปยังพื้นที่เมืองรองอื่นๆ ของอินเดียได้ครอบคลุม ซึ่งร้านค้าปลีกประเภทนี้ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีรายได้ระดับกลาง-บนขึ้นไปที่อาศัยในเมืองเขตเศรษฐกิจหลัก อาทิ มุมไบ นิวเดลี กัลกัตตา เชนไน บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด อาห์เมดาบัด และปูเน่ ขณะที่ช่องทางการค้าออนไลน์นับว่ามีความน่าสนใจเพราะเป็นธุรกิจที่อนุญาตให้ต่างชาติเข้าประกอบธุรกิจได้เต็มที่ (ถือหุ้นได้ 100%) แม้จะยังมีมูลค่าน้อยและครองส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณผู้เล่นต่างชาติเข้ามาพัฒนาจนทำให้มีมูลค่าธุรกิจเติบโตสูงถึงร้อยละ 31 มีมูลค่าแตะ 32.7 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2561 จึงเป็นอีกช่องทางที่เปิดโอกาสให้สินค้าไทยทำตลาดได้มากขึ้นอีกในระยะข้างหน้า

 

   ธุรกิจค้าปลีกทั้งค้าปลีกสมัยใหม่และค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังภาครัฐผ่อนคลายกฎระเบียบโดยเปิดโอกาสสำหรับการลงทุนโดยต่างชาติมากขึ้นกว่าในอดีต อีกทั้งวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่สอดรับกับการมาของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะคนเมืองมีความเร่งรีบ จึงเริ่มให้ความสนใจกับการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มีแบรนด์ และมีคุณภาพที่ดีต่างกับสินค้าท้องถิ่น ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญของสินค้าไทยในการเข้าทำตลาดผ่านช่องทางนี้ อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ดูแลความสะอาดส่วนบุคคล เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน น้ำหอม โดยเฉพาะอาหารและอาหารแปรรูปเป็นสิ่งที่อินเดียนำเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการต้องศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอย่างรอบคอบ เนื่องจากอินเดียมีความต่างกันทั้งด้านวัฒนธรรม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างมาก รวมทั้งความหลากหลายทางศาสนาก็มีอิทธิพลต่อการบริโภคทำให้ประชากรส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังชื่นชอบรสชาติของเครื่องเทศ “มัสซาลา” การที่อาหารมีรสชาติดังกล่าวก็สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้มากทีเดียว

 
 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเที่ยวไทยมักซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นของติดมือกลับบ้าน ชี้ว่าสินค้าไทยมีคุณภาพเป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับดีอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสของ SME ไทยในการต่อยอดทำตลาดอินเดียได้ โดยในระยะเริ่มแรกควรร่วมงานแสดงสินค้ากับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยเพื่อทดลองตลาด หรือใช้ช่องทางการค้าออนไลน์ของอินเดียในการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคและการตั้งราคาสินค้าก่อนเข้าสู่ตลาดจริง โดยผ่านเว็บไซต์ Flipkart, Snapdeal และ Amazon India รวมทั้งจำเป็นต้องมีแผนการเจาะตลาดที่ชัดเจน เนื่องจากอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่แบ่งเป็น 29 รัฐ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีกฎระเบียบของตนเอง อย่างไรก็ดี การนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในอินเดียควรต้องหาหุ้นส่วนในอินเดียให้เป็นตัวแทนนำเข้าหรือตัวแทนการจำหน่าย (Customs House Agent) ที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้าสินค้าที่ออกโดยหน่วยงานรัฐบาล (Central Licensing Authority) และต้องมีใบอนุญาตสำหรับการนำเข้าอาหาร ซึ่งการมีหุ้นส่วนเป็นชาวอินเดียจะช่วยให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้ราบรื่น​
 

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

K SME Analysis