Display mode (Doesn't show in master page preview)

6 พฤศจิกายน 2568

Econ Digest

ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยภาษีทรัมป์ภายใต้ IEEPA เกินอำนาจกฎหมาย...คาดทรัมป์ยังเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตราอื่นๆ

คะแนนเฉลี่ย
        เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 คดีภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลสูงสุดสหรัฐฯ โดยผู้พิพากษาส่วนใหญ่ตั้งข้อสงสัยต่อการที่ทรัมป์ใช้อำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในการเก็บภาษีนำเข้าในวงกว้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมายดังกล่าวกำลังถูกพิจารณาอย่างเข้มงวด โดยคาดว่าคำตัดสินของศาลฯ จะประกาศได้อย่างช้าที่สุดในเดือนมิ.ย. 2569 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดวาระการพิจารณาคดีของศาลฯ ในช่วงระหว่างนี้ก่อนจะมีคำตัดสินจากศาลฯ ภาษีดังกล่าวจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยภาษีดังกล่าวครอบคลุมถึง 

1) ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เรียกเก็บในอัตราภาษี 10-50% กับคู่ค้าของสหรัฐฯ 

2) ภาษีเฟนทานิล ที่เรียกเก็บจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา 

3) ภาษีลงโทษ (Punitive Tariff) ที่เรียกเก็บจากอินเดียและบราซิล 

4) ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment Tariff) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม 


        ในกรณีที่ศาลฯ มีคำตัดสินว่าการเก็บภาษีตามกฎหมาย IEEPA ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถูกระงับและยกเลิก จะมีนัยต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนี้ 

• จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญในด้านนโยบายการค้า โดยจะเป็นการเน้นย้ำว่าประธานาธิบดีไม่ได้มีอำนาจในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าโดยการอ้างเหตุภาวะฉุกเฉินระดับชาติได้ ซึ่งการกำหนดภาษีเป็นหน้าที่หลักของสภาคองเกรสตามรัฐธรรมนูญ 

• เปิดทางให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเกือบ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็นราว 5% ของการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2568 (จากข้อมูลของศุลกากรสหรัฐฯ) (รูปที่ 1) ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐต้องคืนภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ภายใต้รายได้ภาครัฐที่มีแนวโน้มลดลงอยู่แล้วจากการปรับลดภาษีตามมาตรการ One Big Beautiful Bill (OBBA) 

• อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกยังคงมีอยู่ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายการค้าอื่นๆ แทน เช่น มาตรา 232 ที่ให้อำนาจเก็บภาษีสินค้านำเข้าโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ มาตรา 301 ที่ใช้ตอบโต้ประเทศที่มีการค้าที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 201 (safeguard) ที่ให้อำนาจเก็บภาษีหรือตั้งโควตาชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และ การอุดหนุนจากต่างประเทศ (Countervailing Duties: CVD) ที่มุ่งลงโทษสินค้านำเข้าที่ขายต่ำกว่าต้นทุนจริงหรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ ส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้ายังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม การประกาศบังคับใช้มาตรการดังกล่าวอาจใช้ระยะเวลายาวนานกว่าการประกาศใช้ตามกฎหมาย IEEPA 

        สำหรับผลกระทบต่อไทย หากศาลฯ มีคำสั่งระงับและยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมาย IEEPA จะมีผลต่อไทยผ่านภาษี Reciprocal tariff ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 19% ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 50% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องพิมพ์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ข้าว เป็นต้น ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็จะได้รับอานิสงส์เช่นกัน โดยเฉพาะจีนที่อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 27.6% จากเดิมที่ 47.6% ส่งผลให้สินค้าบางประเภทของไทยที่เคยได้ประโยชน์จากอัตราภาษีภายใต้ IEEPA ที่ต่ำกว่าจีน เช่น เครื่องปรับอากาศ อาจสูญเสียความได้เปรียบดังกล่าวไป 
        อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 ในระยะข้างหน้า โดยสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้นภาษีฯ มีมูลค่าราว 30–35% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในหลายรายการมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมภายใต้มาตรา 232 อาทิ วงจรรวม ไดโอด และทรานซิสเตอร์ ที่อยู่ในกลุ่มสินค้ากึ่งตัวนำ (semiconductors) ซึ่งสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาและไต่สวนการจัดเก็บภาษีภายใต้มาตรา 232 สำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาเช่นกัน เช่น เครื่องจักรกลอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในระยะต่อไป

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest