ประเด็นเด่นวันนี้
- คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และรักษาขนาดการซื้อพันธบัตรที่ 85 พันล้านดอลลาร์ฯ/เดือน โดยระบุถึงความพร้อมของเฟดในการปรับเปลี่ยนขนาดของการซื้อพันธบัตร ไม่ว่าจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามพัฒนาการของตลาดการจ้างงานและเงินเฟ้อ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ถ้อยแถลงของเฟด ภายหลังการประชุม FOMC นั้น เป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จนกว่าตลาดแรงงงานจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางแรงกดดันจากการปรับลดงบประมาณของสหรัฐฯ (Sequestration) ที่เริ่มส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงและการจ้างงานของสหรัฐฯ ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ซึ่งเป็นระดับเงินเฟ้อเป้าหมายในระยะยาวของเฟด ก็อาจเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการดำเนินนโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะมาตรการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ต่อไป ทั้งนี้ คาดว่ามีโอกาสไม่มากนัก ที่เฟดจะพิจารณาปรับลดขนาดของการซื้อสินทรัพย์ในปีนี้ โดยคาดว่าเฟดน่าจะต้องรอให้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีการพิจารณาถึงแนวทางการถอนออกจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยในเดือนเม.ย. 2556 รายงานโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน มาที่ระดับ 83.7 จากระดับ 84.4 ในเดือนมี.ค.2556 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ลดลงมาที่ระดับ 73.9 ระดับ 75.5 และระดับ 101.8 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 75.0 ระดับ 76.4 และระดับ 102.9 ในเดือนก่อนหน้า ตามลำดับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความกังวลต่อผลกระทบของค่าของเงินบาทต่อเศรษฐกิจไทย และภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีสัญญาณความซบเซาปรากฎขึ้น อาจยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงหลายเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอานิสงส์ของมาตรการเพิ่มรายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล การเตรียมติดตามดูแลปัญหาเงินบาทแข็งค่าของทางการ ตลอดจนภาระค่าครองชีพของประชาชนที่ยังไม่น่าจะเร่งตัวขึ้นมาก อาจเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยประคองให้ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่ไถลลงมากนัก
- สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2556 ขอให้สั่งเพิกถอนแผนบริหารจัดการน้ำ มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เนื่องจากการกำหนดแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ รวมถึงข้อกำหนดและขอบเขตของงาน (TOR) ของรัฐบาลนั้น ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและขัดต่อ พรบ. ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อคุ้มครองชั่วคราว สั่งการให้รัฐบาลระงับการยื่นซองประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำในวันที่ 3 พ.ค. 2556 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แผนการบริหารจัดการน้ำเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เขตเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญกับภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปลายปี 2554 โดยรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในแผนฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่าหากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่คราวระงับการยื่นซองประมูลในวันพรุ่งนี้ ก็อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้าลง และรัฐบาลอาจจำเป็นต้องมีการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เป็นต้น ก่อนที่จะดำเนินการตามแผนฯ ต่อไป ซึ่งความล่าช้าดังกล่าวเพิ่มอาจความเสี่ยงและความมั่นใจของนักลงทุน รวมไปถึง ความล่าช้าของการเบิกจ่ายอาจส่งผลให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐในปีนี้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อีกด้วย
Disclaimer
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วง หน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯจะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใด
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น