จีน...เล็งขึ้นแท่น "ประเทศปลอดคาร์บอน"

           จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดของโลก ตั้งเป้าเป็นประเทศที่ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอีก 40 ปีข้างหน้า ผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 14   โดยปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนเร่งตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด 19  ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า อุตสาหกรรมที่พึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของจีนอาจได้รับแรงกดดัน ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องของไทยคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของทางการจีนอย่างใกล้ชิด  ทั้งนี้ ในปี 2563 การส่งออกสินค้าพลังงานและแร่ของไทยไปจีน คิดเป็นเพียง 2% ของการส่งออกของไทยไปจีน หรือมีมูลค่าเพียง 693 ล้านดอลลาร์ฯ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การปรับกระบวนการผลิตจากที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาดของจีน คงต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 10 ปี  ซึ่งการสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาดของจีน จะเอื้อให้การส่งออกของไทยเพื่อนำไปผลิตพลังงานสะอาดเร่งตัวในระยะข้างหน้า  โดยผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ใช้วัตถุดิบในไทยจะได้ประโยชน์สูงสุด  เนื่องจากจีนใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์และเอทานอล  ซึ่งใช้ต้นทุนต่ำกว่าการใช้ข้าวโพดที่ผลิตในจีน  โดยครองสัดส่วนสูงสุดที่ 80%  ของปริมาณการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมดของจีน  ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปี 64 ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 70.7%  สำหรับการส่งออกโซลาร์เซลล์ รวมถึงยานยนต์และส่วนประกอบของยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ซึ่งพึ่งพาเม็ดเงินทุนจากจีนที่เข้ามาขยายฐานการผลิตในไทย จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของไทยไปจีนในภาพรวม 

ในระยะข้างหน้า การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การขนส่ง ตลอดจนภาคเกษตรกรรมของไทยควรเตรียมรับมือกับนโยบายของจีนในอนาคต อันจะมีผลต่อกระบวนการผลิตของภาคธุรกิจในระยะต่อไป โดย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะต่อไปอาจปรับตัวลดลงตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะใช้มาตรฐานด้านคาร์บอน ดังเช่นมาตรการในประเทศยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ การติดฉลากคาร์บอนหรือ Carbon Footprint เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยอาจมีผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าเพื่อการบริโภคและการผลิตจากไทย ซึ่งผู้ประกอบการไทยคงต้องติดตามและปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางของจีนที่เป็นไปตามกระแสโลก