Summary AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2030 แต่ การนำ AI มาใช้อาจจะ จะไม่ได้มีแต่ด้านบวก Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI อาจจะทำให้มีการเลิกจ้างงานถึง 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
สำหรับคนในสายงานวิชาการ เช่น นักวิจัย ทนาย หรือ ดีไซน์เนอร์ คาดว่าจะมีความเสี่ยงจาก AI ที่จะลดบทบาทของพวกเขาลง ตัวอย่างเช่น บริษัทการเงินชั้นนำของโลก BlackRock ได้เลิกจ้างพนักงาน 600 คนหรือ 3% ของจำนวนพนักงานทั้งบริษัทในเดือนมกราคม 2024 เพราะ AI มาทดแทน
อย่างไรก็ดี AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่า เนื่องจากพนักงานในภาคบริการของประเทศไทยมีสัดส่วนน้อยกว่า 4% ที่มีความเสี่ยงสูงจากการถูก AI มาทดแทน ถึงแม้ว่าในตอนนี้ 61% ของ CEO ในประเทศไทย เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
จากการสำรวจ CEO ในไทยโดย PwC ในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 61% ของ CEO เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัทอย่างมากในอีก 3 ปีข้างหน้า และ 58% เชื่อว่าจำเป็นต้องมีการพัฒนาทักษะใหม่ของพนักงาน แต่ในขณะนี้มีเพียง 36% ของ CEO ที่นำ AI มาใช้ในธุรกิจของพวกเขาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็น ว่าความกังวลและการดำเนินการไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
AI จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ดี AI จำเป็นต้องมีการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ก่อนในระดับหนึ่งเพื่อให้ขยายตัวได้ เช่น ประชากรต้องมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ที่สูง หรือ มีแหล่ง Computer Processing และฐานข้อมูลใน Data Center จำนวนมาก เพื่อที่ใช้ระบบ Large Language Model ของ AI ได้
ประเทศไทยเรายังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับต่างประเทศในด้านความพร้อมทางดิจิทัล โดยในตอนนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 35 ใน World Digital Competitive Ranking และมี Data Center รองรับแค่ 41 แห่ง น้อยกว่า EU มาก (เช่น ฝรั่งเศสมี 205 แห่ง)
เพราะฉะนั้น AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่าหลายประเทศ เพราะ AI จะมีผลกระทบต่องานที่อยู่ในออฟฟิศหรืองานด้านวิชาการ ซึ่งจำนวนผู้คนที่ทำงานสายนี้ในไทยถือว่ามีสัดส่วนน้อย อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ AI จะไม่ได้มาแค่ทดแทนสายงาน (เช่นการทำ admin) แต่จะสามารถมาสนับสนุนสายงานได้โดยการ Augment (เช่น การตรวจบัญชี) แต่ก็มีหลายสายงานที่จะโดนผลกระทบน้อยเช่น หมอนวด หรือ การเป็นคุณครูห้องเรียน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า AI จะมีผลกระทบมากที่สุดในอุตสาหกรรมการบริการของประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนถึง 52.4% ของ GDP โดยการเปลี่ยนแปลงจะคล้ายกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นในภาคการผลิตที่นำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาช่วยในอดีต ซึ่ง AI จะเริ่มแทรกแซงงานในภาคบริการและการสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงของแต่ละอุตสาหกรรมจะไม่เหมือนกัน โดยการวิจัยของ World Economic Forum และ Indeed (Website เกี่ยวกับงาน และการสมัครงาน) แบ่งสายงานต่างๆ เป็นความเสี่ยงระดับ สูง ปานกลาง และ ต่ำ ดังนี้
สำหรับภาคบริการไทย งานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด คือ งานออฟฟิศทั่วไป เช่น ธุรกิจการเงิน บริการด้านเทคนิค ธุรกิจสื่อสาร และดีไซน์ ในขณะเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่ำ คือ งานที่ต้องอาศัยการเข้าถึงบุคคล เช่น การสอน การดูแลสุขภาพ และการบริการลูกค้าโดยตรง
นอกจากนี้ ภายในแต่ละสายงานภาคบริการ ยังมีความเสี่ยงแตกต่างกันในหลายระดับด้วย เช่น ในสายงานนันทนาการถือว่าเสี่ยงน้อย แต่สายงานกิจกรรมทางศิลปะจะมีความเสี่ยงสูงจาก AI เช่น MidJourney (AI ที่สามารถสร้างภาพโดยที่คนใช้งานใส่แค่ ประโยคสั้นๆ)
ทั้งนี้ หากพิจารณาความเสี่ยงของ AI กับจำนวนคนในสายงาน และมูลค่า GDP แล้ว จำนวนงานของผู้คนที่มีความเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI ซึ่งถือว่าต่ำ ประมาณ 2.8 แสนคน หรือ 3.5% ของคนที่ทำงานในสายบริการทั้งหมด แต่จะมีมูลค่าสูงถึง 34.7% ของ GDP ของภาคบริการ ด้วยเหตุผลมาจากสัดส่วนของคนที่ทำงานในงานที่ไม่เสี่ยงสูง เช่น ก่อสร้าง (0.9 ล้านคน) หรือจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย (1.8 ล้านคน) แต่สัดส่วนคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงสูง เช่น การเงิน (2.9 หมื่นคน) และบริการวิชาชีพอื่นๆ (9.5 หมื่นคน) มีจำนวนน้อยกว่ามาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเทศไทยควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล่าวคือไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือการใช้ประยุกต์ใช้งาน AI อย่างรวดเร็ว เช่น หาก GPT4 สามารถผ่านการทดสอบทางการแพทย์ หรือ CFA จะทำให้งานที่มีรายได้สูงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ได้
บุคลากรด้านวิชาการยังคงต้องมีความรู้เฉพาะด้าน แต่ควรเปลี่ยนแนวความคิดและปรับใช้เครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยใช้ AI มากขึ้นในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) และผลิตผลการทำงาน (Productivity) เช่น ช่วยสรุปความคิด หรือช่วยเขียนโค้ด
|
Click ชมคลิป Thailand and AI : AI จะมีผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างไร? |
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น