อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ไทย มีแนวโน้มทยอยปรับตัวขึ้นในปี 2564 โดยเฉพาะพันธบัตรระยะกลางถึงพันธบัตรอายุไม่เกิน 10 ปี โดยได้แรงหนุนจากสองส่วนหลัก คือ 1) โอกาสการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และ 2) การคาดการณ์ว่า รัฐบาลไทยจะออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ภารกิจในการประคองทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ทางการไทย มีความต้องการระดมทุนในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้ยืมเพื่อใช้สำหรับ โครงการหรือแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่างๆ ที่ประเมินแล้ว น่าจะมีวงเงินสูงกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องบริหารต้นทุนทางการเงิน อาจมีแผนเข้าระดมทุน ผ่านตลาดหุ้นกู้ และ/หรือต้องออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ซึ่งคาดว่า ในปี 2564 นี้จะมีตราสารหนี้ระยะยาวของภาคเอกชน ครบกำหนดประมาณ 7.2 แสนล้านบาท
แม้ว่า ภาครัฐและเอกชน มีแผนการระดมทุนรวมกันแล้ว ไม่น้อยกว่าระดับ 2 ล้านล้านบาท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สภาพคล่องในระบบยังคงอยู่ในระดับสูง และน่าจะเพียงพอ รองรับความต้องการระดมทุนของภาคส่วนต่างๆ อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ต้นทุนการกู้เงินทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน สำหรับการกู้ในระยะที่ยาวออกไปมากกว่า 1 ปี มีโอกาสทยอยขยับสูงขึ้นในช่วงหลังจากนี้ แม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี 2564
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น