CBAM ของสหภาพยุโรปจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนหน้า
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า โดยในระยะแรก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า CBAM จะส่งผลกระทบต่อ 3.8% ของสินค้าส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปในปี 2569 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท
เป้าหมายของ CBAM คือ การสร้าง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียม” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตในสหภาพยุโรปเสียเปรียบจากการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ดังนั้น วันที่ 1 มกราคม 2569 จึงถือเป็นการสิ้นสุดของระยะเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากกลไกของ CBAM จะเริ่มปรับให้สอดคล้องกับระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (EU ETS) โดยระบบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบภายในปี 2577 ซึ่งจะเป็นปีที่สิทธิการปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (Free Allowance) สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะถูกยกเลิกทั้งหมด
อุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ
ในประเทศไทย สองอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบ คือ เหล็กและเหล็กกล้า (มีมูลค่าส่งออก 95.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567*) และอะลูมิเนียม (มีมูลค่าส่งออก 56.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567*) ขณะที่การส่งออกปูนซีเมนต์และปุ๋ยมีมูลค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ผู้ส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียมไปยังสหภาพยุโรปอาจจำเป็นต้องปรับตัว มิฉะนั้นอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากผู้นำเข้าจำเป็นต้องซื้อใบรับรอง CBAM สำหรับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตของสินค้า ซึ่งมีราคาประมาณ 60–90 ยูโรต่อตัน แม้ในระยะแรกมูลค่าการซื้อใบรับรองจะยังไม่สูงนัก แต่ก็อาจทำให้ผู้ผลิตไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากไม่เร่งปรับตัว
กระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 สูงกว่าคู่แข่งในยุโรป
การผลิตในประเทศไทยปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยน้ำหนัก (ตัน) สูงกว่าคู่แข่งในยุโรปสูงสุดถึง 17 เท่า แม้ว่าช่วงปกติจะอยู่ที่ประมาณ 0.3–8.8 เท่าเท่านั้น ขณะที่การผลิตปุ๋ยและก๊าซอุตสาหกรรมกลับปล่อยก๊าซ CO₂ น้อยกว่ายุโรป 50–70% เนื่องจากบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทาน ที่มุ่งเน้นเพียงกระบวนการผสมไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ
เหล็กและเหล็กกล้า:
อุตสาหกรรมที่เปราะบางที่สุดคือ เหล็กและเหล็กกล้า โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรปอยู่ที่ 95.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือคิดเป็น 5.7% ของมูลค่าส่งออกเหล็กทั้งหมดของไทย ) อุตสาหกรรมเหล็กมีการปล่อยคาร์บอนในระดับที่สูงมาก เนื่องจากต้องใช้เตาถลุงถ่านหินในการผลิต การใช้ใบรับรอง CBAM จะทำให้ต้นทุนเหล็กไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 1,300–1,500 บาทต่อตัน หรือคิดเป็น 1.5–1.7% ของมูลค่าสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ภาระต้นทุนรวมต่อปีจากการซื้อใบรับรอง CBAM อยู่ที่ราว 167–193 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อุตสาหกรรมเหล็กของไทยจำเป็นต้องดำเนินการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) การเปลี่ยนมาใช้เตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน และ (2) การพัฒนากระบวนการผลิตเหล็กด้วยไฮโดรเจนสีเขียวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน (Green Hydrogen Direct Reduction) ไม่เช่นนั้น เหล็กกล้าคาร์บอนสูงของไทยอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหภาพยุโรปให้กับผู้ผลิตที่มีกระบวนการผลิตที่สะอาดกว่า เช่น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น หรือผู้ผลิตภายในสหภาพยุโรปเอง
อะลูมิเนียม:
ไทยส่งออกอะลูมิเนียมไปยังสหภาพยุโรปมูลค่า 56.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.7% ของการส่งออกรวม จึงเผชิญความเสี่ยงจาก CBAM น้อยกว่าอุตสาหกรรมเหล็ก อย่างไรก็ตาม การผลิตอะลูมิเนียมมีความเข้มข้นของคาร์บอนต่อหน่วยสูงกว่าเหล็กกล้าอย่างมาก จึงเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมของไทยจำเป็นต้องปรับมาใช้เตาหลอมไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนสำหรับกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องพัฒนาระบบอิเล็กโทรลิซิสแบบวงจรปิดที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
ปูนซีเมนต์:
ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกปูนซีเมนต์ไปยังสหภาพยุโรปคิดเป็นมูลค่าเพียง 308,180 ดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าจะ ไม่ได้รับผลกระทบจาก CBAM ของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของไทยมีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยได้กำหนด "เส้นทางสู่ Net Zero ปี 2593" และบริษัทต่าง ๆ ได้เริ่มผลิตปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Limestone Calcined Clay Cement) ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 38% นอกจากนี้ หลายบริษัทอยู่ระหว่างการเปลี่ยนจากเตาเผาที่ใช้ถ่านหินมาเป็นเตาเผาชีวมวลแทน
ปุ๋ย:
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การส่งออกปุ๋ยของไทยไปสหภาพยุโรปยังมีมูลค่า 630,740 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิต “แอมโมเนียสีเขียว” ซึ่งเป็นกระบวนการสังเคราะห์แอมโมเนียโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แทนการใช้กระบวนการที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ หรือกระบวนการฮาเบอร์-บอช (Haber-Bosch process)
ไฟฟ้าและไฮโดรเจน:
ประเทศไทยไม่ได้ส่งออกไฟฟ้าหรือไฮโดรเจนไปยังสหภาพยุโรป จึงไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียรายได้จากการส่งออกโดยตรงภายใต้มาตรการ CBAM อย่างไรก็ดี ไฟฟ้าเป็นอาจส่วนหนึ่งของพลังงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าเป้าหมายที่มีการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนจึงอาจเป็นส่วนช่วยผู้ผลิตได้
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะอยู่ภายใต้ขอบเขตมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรปในอนาคต
เนื่องจาก CBAM มีแนวโน้มที่จะขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ในประเทศไทย ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องวางแผนและทยอยปรับตัว ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงแนะนำมาตรการเชิงรุก ดังต่อไปนี้
• อุตสาหกรรมพอลิเมอร์ เคมี แก้ว/เซรามิก เยื่อและกระดาษ รวมถึงการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ควรเริ่มดำเนินการวัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ทันที ขั้นตอนแรกนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะยังจะสอดคล้องกับข้อกำหนดอื่นๆ ที่กำลังจะมีผลบังคับ ใช้ เช่น รายงาน แบบ 56-1 One Report ของไทย หรือระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ของญี่ปุ่นและจีนที่กำลังจะเริ่มดำเนินการ
• ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะถูกกำหนดให้อยู่ในขอบเขตของมาตรการ CBAM ควรเร่งปรับปรุงเทคโนโลยีตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้ผลิตพลาสติกสามารถลงทุนในการเปลี่ยนกระบวนการทำความร้อนให้เป็นระบบไฟฟ้า เช่น การใช้หม้อไอน้ำไฟฟ้าหรือเครื่องทำความร้อนไฟฟ้า โรงงานเซรามิกและแก้วสามารถทดลองเปลี่ยนมาใช้เตาเผาเชื้อเพลิงชีวมวลหรือก๊าซชีวภาพ แทนการใช้ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินในเตาเผาเดิม
• ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้องหันมาผลิตสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่นเดียวกับปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (LC3) ของเอสซีจี ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตพลาสติกสามารถเร่งพัฒนาพลาสติกชีวภาพ หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล ซึ่งมีปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์น้อยกว่าพลาสติกปิโตรเคมีที่ผลิตใหม่
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น