Display mode (Doesn't show in master page preview)

14 พฤศจิกายน 2565

Econ Digest

จับตาค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ 14-18 พ.ย. 2565

คะแนนเฉลี่ย


สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท
เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือนตามทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวอ่อนค่าลง หลังการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด หนุนการคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับลดขนาดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบถัดๆ ไป นอกจากนี้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังสอดคล้องกับสถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติซึ่งเข้าซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 14-18 พ.ย. 2565 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 35.30-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของอังกฤษ ยูโรโซน และญี่ปุ่น 


สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
SET Index ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สี่ ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นช่วงต้นสัปดาห์ ตามแรงซื้อต่อเนื่องของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ก่อนจะย่อตัวลงในเวลาต่อมา โดยเผชิญแรงขายทำกำไร หลังจากบจ. หลายแห่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/65 ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี หุ้นไทยดีดตัวกลับมาได้ช่วงปลายสัปดาห์ ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ออกต่ำกว่าตลาดคาด ซึ่งกระตุ้นคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงในการประชุมรอบต่อไป
สัปดาห์ที่ 14-18 พ.ย. 2565 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,620 และ 1,610 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,650 และ 1,670 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การประชุมเอเปค ดัชนี PPI เดือนต.ค.ของสหรัฐฯ และดัชนี CPI เดือนต.ค. ของยูโรโซน


Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น