สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท
- เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคในช่วงก่อนการประชุมเฟดท่ามกลางแรงหนุนจากสัญญาณผ่อนปรนมาตรการควบคุมโควิดของทางการจีน ประกอบกับมีกระแสการคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเผชิญแรงขายตามสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย หลังข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนพ.ย. อ่อนแอกว่าที่คาด สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ทยอยฟื้นตัวขึ้นหลังเฟดยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2566 เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
- สัปดาห์ระหว่างวันที่ 19-23 ธ.ค. 2565 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 34.50-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ค่าเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพ.ย. อัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ผลการประชุม BOJ และการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีนด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
- SET Index ขยับขึ้นช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับมีแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังการประชุมเฟดเสร็จสิ้นลง โดยแม้เฟดจะลดขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2566 ประกอบกับนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระตุ้นแรงขายในหุ้นทุกอุตสาหกรรม
- สัปดาห์ที่ 19-23 ธ.ค. 2565 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,610 และ 1,600 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,640 และ 1,650 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ การประชุม BOJ ตลอดจนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนธ.ค. ของจีน
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น