การแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019 n-CoV) ส่งผลให้ทางการจีนใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อสกัดการแพร่ระบาด อาทิ การปิดเมืองและการหยุดกิจการชั่วคราว ซึ่งอาจกระทบความต้องการสินค้านำเข้าจากไทยในปี 2563 และยิ่งซ้ำเติมการส่งออกของไทยที่อ่อนแรงจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
           ทั้งนี้ นอกจากผลต่อการส่งออกสินค้าไทยไปจีนแล้ว ยังอาจทำให้การนำเข้าสินค้าขั้นกลางของไทยจากจีนต้องประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบด้วย โดยปัจจุบันไทยพึ่งพาจีนเป็นทั้งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสินค้าขั้นกลางถึง 45% และ 46% ของการส่งออกและการนำเข้าทั้งหมดของไทยกับจีน ตามลำดับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า  หากจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ ได้ภายใน 1 เดือน ผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของไทยที่เชื่อมโยงกับจีนจะมีค่อนข้างจำกัด แต่จะกระทบการส่งออกสินค้าเพื่อการบริโภคเป็นหลัก คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูญเสียไป 400-800 ล้านดอลลาร์ฯ 
            แต่หากการระบาดในจีนขยายระยะเวลาเป็น 1-3 เดือน จากข้อมูลเบื้องต้นประเมินว่าจะกระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ฯ (กรอบประมาณการ 1,500-6,000 ล้านดอลลาร์ฯ) ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการปิดเมืองสำคัญอื่นเพิ่มเติมแค่ไหน และยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทางการจีนอาจนำมาใช้ในระยะต่อไป ทั้งนี้ ผลกระทบของในกรณีนี้ประกอบด้วยผลกระทบด้านการส่งออกสินค้าเพื่อการบริโภครวมกับสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบขั้นกลางของไทยที่ส่งไปจีนคิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูญเสียไป 900-1,500 ล้านดอลลาร์ฯ และผลจากการขาดแคลนสินค้านำเข้าขั้นกลางของไทยจากจีน โดยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับค่ายรถยนต์จีน ซึ่งผลจากการนำเข้าที่หายไปทำให้การผลิตในไทยเสียประโยชน์ 600-4,500 ล้านดอลลาร์ฯ
                            
                                
                                    
                                    
                                        Scan QR Code
                                        
                                         
                                     
                                 
                             
                            
                                หมายเหตุ
                                
                                    รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น