Display mode (Doesn't show in master page preview)

15 กันยายน 2568

Econ Digest

เศรษฐกิจอินโดนีเซียเปลี่ยนทิศ จากวินัยการคลังสู่การกระตุ้นเชิงรุกเพื่อเป้าหมาย GDP โตที่ 8%

คะแนนเฉลี่ย
        การแต่งตั้งนายปูร์บายา ยูดิ ซาเดวา (Purbaya Yudhi Sadewa) เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2025 สะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญของแนวทางการบริหารเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต จากเดิมที่ยัดหลักรักษาวินัยการคลังตามการบริหารของนางศรี มูลยานี อินดราวตี (Sri Mulyani Indrawati) มาสู่การขับเคลื่อนเชิงรุกที่มุ่งอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อตอบโจทย์ทางสังคมและฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจดังนี้
•    นโยบายหลักของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ คือการใช้มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงเงิน 200 ล้านล้านรูเปียห์ (1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ) หรือ 0.9% ของ GDP โดยนำเงินสดจากบัญชีรัฐบาลกลางที่ฝากไว้กับธนาคารกลางเข้าสู่ระบบการเงินผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่กลุ่มเกษตร สหกรณ์ หมู่บ้าน และผู้มีรายได้น้อย พร้อมวางข้อจำกัดไม่ให้ธนาคารนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารการเงินอื่น เพื่อเร่งให้เงินหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง  
•    การเปลี่ยนแนวบริหารไปสู่การอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและคลายแรงกดดันทางสังคม จากที่ยึดกรอบขาดดุลไม่เกิน 3% ของ GDP และวางฐานรายได้ภาษีอย่างรัดกุม โดยนโยบายครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มุ่งไปที่การส่งผ่านเม็ดเงินหนุนสินเชื่อให้ปรับดีขึ้นจากปัจจุบันเติบโตช้าลงต่อเนื่องเหลือเพียง 6.6% ในเดือน ก.ค. ต่ำสุดในรอบ 3 ปี 
•    การคลังมีความเสี่ยงขาดดุลเพิ่มขึ้นอีก (รูปที่ 1) จากปัจจุบันขาดดุลที่ 2.8% ต่อ GDP ในไตรมาส 2/2025 และยังไม่มีมาตรการเพิ่มรายได้ชัดเจน ขณะที่รายจ่ายภาครัฐจำนวนมากยังรอการเบิกจ่าย รวมถึงการผันงบประมาณบางส่วนไปกองทุนดานันตารา (Danantara) ยิ่งเพิ่มความกังวลต่อฐานะการคลังในอนาคต ถ้าหากเดินหน้านโยบายประชานิยมโดยขาดความรอบคอบอาจผลักดันหนี้สาธารณะให้สูงขึ้น (ล่าสุดอยู่ที่ 39.2% ของ GDP ในปี 2024) และบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน 

•    ตลาดการเงินระยะสั้นตอบรับเชิงบวก (รูปที่ 2) โดยค่าเงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้น 0.03% มาอยู่ที่ 16,457 รูเปียห์/ดอลลาร์ฯ (11 ก.ย.) ขณะที่ดัชนีหุ้น JCI ปรับตัวขึ้นจาก 7,699 จุดในวันก่อนหน้า มาอยู่ที่ 7,747.9 จุด แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ในภาวะที่ตลาดกังวลการแทรกแซงอิสระของธนาคารกลาง (Fiscal Dominance) ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจโดยรวม และอาจนำไปสู่แรงกดดันด้านค่าเงินรอบใหม่
        ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและขับเคลื่อนเชิงรุกเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลพร้อมตอบโจทย์สังคมและเร่งฟื้นเศรษฐกิจ แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโต 8% กับการรักษาเสถียรภาพการคลังและการเงิน ซึ่งหากขาดความรัดกุมอาจนำไปสู่แรงกดดันต่อค่าเงินรูเปียห์ ภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นและเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะต่อไป

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น