Display mode (Doesn't show in master page preview)

5 กันยายน 2565

Econ Digest

ขึ้นค่าแรงรอบใหม่ จะส่งผ่านต้นทุนไปสู่ผู้บริโภค ปี 66

คะแนนเฉลี่ย

​การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในรอบ 2 ปี ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.65 หลังเสนอ ครม.พิจารณา มีการแบ่งการปรับขึ้นเป็น 9 ช่วง โดยอยู่ระหว่าง 328- 354 บาท  หรือปรับขึ้น 3-7% จากเดิม 313-336 บาท  โดยตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา  ค่าจ้างขั้นต่ำของไทยมีการปรับขึ้นไปแล้ว 13-36 บาท หรือคิดเป็น 4-12% หลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศครั้งใหญ่ในปี 55-56 และการปรับขึ้นรายจังหวัดล่าสุดในปี 62 ซึ่งเมื่อพิจารณาการปรับขึ้นค่าจ้างในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่ามีบริบทแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากปี 55 เป็นอย่างมาก กล่าวคือปี 55  เศรษฐกิจไทยขยายตัว 6.4% และมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.02% ขณะที่ปี 65 เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดและเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อโลกที่อยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปี 64 เป็นต้นมา โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.อยู่ที่ 7.61% กดดันให้ผู้ผลิตไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคและส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนและแรงงาน


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อเงินเฟ้อในปี 65 น่าจะมีจำกัด เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลในไตรมาสสุดท้าย ขณะที่ผู้ผลิตคงจะไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดไปยังผู้บริโภคได้ทันที  โดยในปี 66 น่าจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนค่าแรงจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคมากขึ้น  โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานในสัดส่วนสูง เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร ค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหารและก่อสร้าง ดังนั้น คาดว่าระดับเงินเฟ้อในปี 66 คงจะไม่ปรับลดลงมาอย่างรวดเร็ว และน่าจะอยู่ในกรอบ 2.5-3.0% ภายใต้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นไปตามมติและไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดว่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นราว 0.4-0.5% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ภายใต้สมมติฐานที่กำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่​


Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น