ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) คงจะมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 4 ธันวาคม 2550 หลังจากที่เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการปรับตัวในเชิงบวกมากขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 3.25 ขณะนี้ น่าจะเป็นระดับต่ำสุดของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว
สำหรับในปี 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ กนง. คงจะอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันเป็นหลัก ในขณะที่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคเอกชนได้ถูกฝากความหวังไว้ที่การใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคงจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลและประสิทธิภาพของการเบิกจ่ายงบประมาณว่าจะทำได้รวดเร็วและราบรื่นมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ ไม่ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับตัวอย่างไรในระยะข้างหน้า จะปรับลดลงมา ทรงตัว หรือว่าปรับตัวสูงขึ้นอีก เศรษฐกิจไทยก็คงจะต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2551 โดย กนง.อาจจะไม่ต้องวิตกมากนักหรือยังสามารถจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมต่อเนื่องไปได้ ถ้าราคาน้ำมันตลาดโลกขยับลดลงมาจากที่ยืนสูงในปัจจุบันหรือไม่เร่งขึ้นมากจากปี 2550 แต่หากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง หรือปรับสูงขึ้นไปอีก อัตราเงินเฟ้อที่เร่งขึ้นมากในปี 2551 ก็อาจจะทำให้ กนง.ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะ กนง.อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและดูแลระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวขึ้นอย่างร้อนแรงหรืออาจจะชะลอตัวลงด้วยซ้ำ (Stagflation)
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หาก กนง.จำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแล้ว จังหวะเวลาของการดำเนินการดังกล่าว น่าจะไปเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 มากกว่าจะเป็นในช่วงครึ่งปีแรก เพราะ กนง.คงเลือกที่จะรอให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศและเริ่มการใช้จ่ายตามนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่งก่อน ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าที่จะทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.25 ต่อเนื่องไปจนถึงอย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น