Display mode (Doesn't show in master page preview)

4 เมษายน 2551

ตลาดการเงิน

การปรับวิธีคำนวณค่า P/E ตลาดหุ้นใหม่...ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2131)

คะแนนเฉลี่ย

กล่าวโดยสรุปได้ว่า เมื่อต้นเดือน มีนาคม ที่ผ่านมานั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับวิธีการคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ของทั้งตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ โดยเทียบเคียงกับแนวทางของสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (World Federation of Exchanges: WFE) ในค่าสถิติที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (Price/Earning หรือ P/E) อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (Price/Book Value หรือ P/BV) และอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ทั้งนี้ เพื่อให้วิธีการคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และเทียบเคียงกับสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (WFE) ประกอบกับ การคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้กลุ่มหลักทรัพย์ที่ต่างจากการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จึงได้มีการปรับวิธีการคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดดังกล่าวขึ้นเพื่อให้ค่าสถิติภาพรวมตลาดสอดคล้องกับการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยตลาดหลักทรัพย์ได้ระบุรายละเอียดวิธีการคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดตามวิธีการใหม่ ซึ่งคำนวณจากทุกหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ต่างจากวิธีการเดิมที่คำนวณจากทุกหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

แม้ว่าการที่ค่าสถิติภาพรวมตลาดตามวิธีที่คำนวณใหม่จะส่งผลให้ทั้ง P/E และ P/BV ของไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลดความน่าสนใจในการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับวิธีการคำนวณค่าสถิติภาพรวมตลาดใหม่ว่า น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนพัฒนาการของตลาดหุ้นไทยในระยะยาวในหลายๆประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การช่วยสะท้อนถึงภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น การสนับสนุนให้ค่าสถิติภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเข้าสู่มาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น โดยเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันของสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (World Federation of Exchanges: WFE) การเพิ่มแรงจูงใจสำหรับบริษัทในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ การที่ตลาดหุ้นไทยมีค่าราคาถูกหรือ มีค่า P/E ในระดับต่ำนั้น ย่อมจะเป็นการลดแรงจูงใจในการที่บริษัทต่างๆจะนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งการสนับสนุนให้มีการเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหุ้นย่อมจะเป็นการช่วยเพิ่มขนาดของตลาดและเพิ่มความน่าสนใจลงทุนให้กับตลาดหุ้นไทยในสายตาของนักลงทุนต่างชาติในอนาคตเช่นกัน

ขณะที่มองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาค ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอื่นๆที่น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปีนี้ เช่น ความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ สืบเนื่องจากการออกมาตรการต่างๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนแนวโน้มผลกำไรของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศ รวมไปถึง มาตรการทางภาษีของรัฐบาลซึ่งมีบางส่วนที่เป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นประเด็นสำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน และจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดการณ์ระดับเป้าหมายของดัชนีตลาดหุ้น ณ.ปลายปี 2551 ที่ระดับ 1,080 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จาก 858.10 จุด ณ.ปลายปีที่ผ่านมา โดยมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนในประเทศ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


ตลาดการเงิน