ในการประชุมวันที่ 15-16 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงินอีกครั้ง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงมากเกินคาดถึงร้อยละ 0.75-1.00 ลงสู่กรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ที่ร้อยละ 0.00-0.25 ซึ่งกำหนดขึ้นใหม่ในการประชุมรอบนี้ จากระดับร้อยละ 1.00 ทั้งนี้ น้ำเสียงของเฟดในแถลงการณ์ยังคงเทน้ำหนักให้กับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะสภาพตลาดแรงงานที่ถดถอยลง พร้อมๆ ไปกับข้อมูลทางเศรษฐกิจซึ่งสะท้อนว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภค การลงทุนของภาคธุรกิจ และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยังคงมีทิศทางที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องจากการประชุมในรอบก่อนหน้า ทั้งนี้ เฟดได้ระบุว่า จะใช้ทุกเครื่องมือที่มีอยู่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพของราคา โดยเฟดคาดว่า สภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เปราะบางนั้น อาจทำให้เฟดต้องยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำมากเป็นพิเศษไปอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ เฟดได้เพิ่มส่วนที่สำคัญเข้ามาในแถลงการณ์ฉบับนี้ เพื่อส่งสัญญาณถึงการดำเนินการของเฟดในขั้นตอนต่อไปเพื่อพลิกฟื้นตลาดการเงินให้กลับมาทำหน้าที่ตามปกติและสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฟดระบุว่า เฟดจะดำเนินการผ่าน Open Market Operations ซึ่งก็คือ การอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการทำธุรกรรมรับซื้อตราสารทางการเงิน (ซึ่งมักจะเป็นหลักทรัพย์ที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ) จากสถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฟดได้ระบุไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ว่า ในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า เฟดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง (Agency Debts) และหลักทรัพย์ที่หนุนหลังด้วยสัญญาจำนอง (Mortgage-Backed Securities) เป็นปริมาณมาก เพื่อช่วยหนุนตลาดสินเชื่อจำนองและตลาดที่อยู่อาศัย และอาจเพิ่มขนาดการเข้าซื้อหากมีความจำเป็น พร้อมกันนี้ เฟดยังได้กล่าวถึงการเข้าซื้อตราสารหนี้ระยะยาวที่ออกโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และการเริ่มดำเนินการของมาตรการ Term Asset-Backed Securities Loan Facilityในช่วงต้นปีหน้าเพื่อสนับสนุนการปล่อยกู้แก่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทั้งนี้ เฟดยังได้กล่าวย้ำถึงความตั้งใจที่จะพิจารณาหลากหลายมาตรการที่จะทำให้เฟดสามารถใช้งบดุลของเฟดในการสนับสนุนตลาดสินเชื่อและเศรษฐกิจโดยรวมในระยะถัดไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเด็นสำคัญที่สุดในแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดในรอบนี้ ก็คือ เฟดได้ส่งสัญญาณว่า ภารกิจนโยบายการเงินของเฟดในส่วนของเครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ดำเนินการมาจนถึงช่วงที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว โดยเฟดได้กำหนดกรอบด้านต่ำของอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 0.00 ซึ่งทำให้เฟดกลายเป็นธนาคารกลางแห่งแรกในกลุ่มประเทศ G-7 ที่ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแตะร้อยละ 0.00 อย่างไรก็ตาม เฟดได้ส่งสัญญาณว่า ภารกิจนโยบายการเงินของเฟดเพื่อแก้ไขตลาดการเงินและสนันสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ยังคงไม่จบสิ้นลงทั้งหมดหลังการประชุมในรอบนี้ เนื่องจากเฟดยังเหลือเครื่องมืออื่นๆ ในการสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายทางการเงินให้กับตลาดการเงิน เพื่อช่วยกดดันให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร ค่าสเปรดและต้นทุนการกู้ยืมที่ภาคครัวเรือนและธุรกิจต้องเผชิญ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสินเชื่อหลายๆ ประเภทที่ยังคงมีภาวะตึงตัวสูง) ปรับตัวลดลง
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ถึงร้อยละ 1.00 ลงสู่ร้อยละ 2.75 ในการประชุมวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง.ยังคงมีความจำเป็นต้องทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพื่อสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายทางการเงินในยามที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า ทั้งจากประเด็นปัญหาทางการเมืองซึ่งได้ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจชะลอตัวลง ขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง และความเป็นไปได้ของการขยับแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเพื่อตอบรับกับความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ ก็อาจกลายมาเป็นโจทย์หนักของภาคการส่งออกของไทย และอาจมีน้ำหนักทางอ้อมต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ในระยะถัดไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง.มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 1.00 โดยช่วงเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะขยับลงมาใกล้ร้อยละ 0.00 และอาจมีค่าติดลบในบางเดือนของไตรมาส 2/2552 ขณะที่ เศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงอย่างมากตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/2551 ซึ่งในเบื้องต้นประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2551 อาจมีอัตราการเติบโตที่ติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2551 ในขณะที่ มองว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ต่ำกว่าร้อยละ 1.00 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยเสถียรภาพทางการเมืองก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญ นอกเหนือไปจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งรอที่จะทดสอบเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น