ในช่วงบ่ายวันที่ 14 มกราคม 2552 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ลงร้อยละ 0.75 จากร้อยละ 2.75 สู่ร้อยละ 2.00 โดยแถลงการณ์หลังการประชุมกนง.สะท้อนความกังวลต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นและคลายความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อลงอย่างชัดเจน โดยกนง.ระบุว่า ;ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอลง คณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระหว่างที่ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมีมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ และแรงกระตุ้นจากภาคการคลังอาจใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง”
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแรงหนุน หลังจากที่ กนง.ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้วทั้งสิ้นร้อยละ 1.75 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องชี้เศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงหลายเดือนข้างหน้านั้น อาจจะยังคงสะท้อนถึงแนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจไทย พร้อมๆ กับภัยคุกคามจากเงินฝืดโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ทั้งนี้ ประเด็นแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอดังกล่าว จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ในระยะถัดไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นปัจจัยที่เอื้อให้กนง.มีพื้นที่มากพอสมควรในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะถัดไปเพื่อดูแลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลไกการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธปท.ยังคงไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระบบ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงิน อาจไม่ถูกปรับลดลงมากเท่ากับขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อันเป็นผลจากประเด็นด้านความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการปล่อยสินเชื่อ และต้นทุนในการตั้งสำรองหากสินเชื่อที่ปล่อยไปกลายเป็นหนี้เสีย
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่จะต้องจับตาในระยะถัดไปเช่นเดียวกัน ก็คือ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อาจตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ตลอดจนแนวโน้มการส่งออกที่อาจจะหดตัวโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งก็คงจะทำให้ ธปท.ต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายในการบริหารจัดการเสถียรภาพของค่าเงินบาท (เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย) พร้อมๆ ไปกับการสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายทางการเงินเพื่อบรรเทาความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น