ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในการประชุมรอบที่สามของปีในวันที่ 8 เมษายน 2552 นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงอีกไม่น้อยกว่า 0.25% (โดยการปรับลด 0.50% ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน) จาก 1.50% มาที่ 1.25% หรือต่ำกว่านั้น เนื่องจากปัจจัยลบทั้งจากในและต่างประเทศยังคงเป็นแรงกดดันและทำให้ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมีน้ำหนักที่สำคัญอย่างชัดเจนมากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อซึ่งน่าจะยังไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกในช่วงปีนี้
ทั้งนี้ แม้ว่าการส่งผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของทางการอาจมีประสิทธิผลที่ไม่เต็มที่นักภายใต้จังหวะเวลาที่ความเสี่ยงด้านเครดิตยังคงมีอยู่มากเช่นปัจจุบัน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินที่ปรับลดลงอาจไม่ใช่ปัจจัยเพียงประการเดียวที่จะสามารถพลิกฟื้นภาวะเศรษฐกิจได้ แต่อย่างไรก็ตาม ธปท.คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ควบคู่ไปกับการดูแลสภาพคล่องในระบบให้มีอยู่อย่างเพียงพอสำหรับทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการทรุดตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกันก็รอเวลาที่การดำเนินนโยบายการคลังผ่านการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาล รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงอย่างต่อเนื่องของ ธปท. จะเริ่มทยอยปรากฏผลในการช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากภาวะซบเซาเช่นเดียวกันกับภาวะเศรษฐกิจโลก สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หาก กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกตามที่คาด ธนาคารพาณิชย์อาจมีแนวโน้มขยับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมลงตาม แต่อาจด้วยขนาดที่ไม่มากนัก เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันค่อนข้างต่ำและแทบจะไม่มีความแตกต่างระหว่างประเภทอายุเงินฝากแล้ว อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในการระดมเงินทุนของธนาคารพาณิชย์อาจยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษ รวมถึงการออกตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ ด้วยเงื่อนไขผลตอบแทนที่จูงใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นไปเพื่อการรักษาฐานลูกค้าและการบริหารจัดการสภาพคล่องของแต่ละธนาคารแล้ว ยังเป็นการล็อคเงินทุนด้วยต้นทุนในระดับต่ำไว้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจโดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสามารถจะฟื้นตัวขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น