จากการติดตามความเคลื่อนไหวของต้นทุนการระดมทุนภาคธุรกิจกว่ารอบปีที่ผ่านมา ผ่านทาง “ดัชนีต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจ” (Financial Condition Index: FCI) ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้พัฒนาขึ้นนั้น จะพบว่า ภาคธุรกิจของไทยเผชิญกับภาวะที่ต้นทุนทางการเงินในภาพรวมเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 เป็นต้นมา โดยเฉพาะเมื่ออัตราการกู้ยืมเงินจากตลาดตราสารหนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ยุติการหั่นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมลง ผลจากต้นทุนทางการเงินในภาพรวมที่ลดความสดใสลงดังกล่าว ได้สะท้อนผ่านดัชนี FCI ที่ชะลอการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2552
อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่า ดัชนี FCI ล่าสุดในช่วงสองเดือนแรกของปี 2553 ที่ผ่านมา ให้ภาพที่ดีกว่าการคาดการณ์เดิม ซึ่งได้รับแรงหนุนจากทั้งอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ที่ปรับตัวลดลงในเดือนมกราคม และการฟื้นตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดัชนี FCI ดังกล่าว อาจสามารถรักษาโมเมนตัมเชิงบวกดังกล่าวไว้ได้ในอีก 1-3 เดือนข้างหน้า แต่ในระยะถัดไป ดัชนีดังกล่าว ก็อาจลดแรงบวกลง อันหมายความถึงต้นทุนทางการเงินที่อาจกลับมามีทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางภาวะที่ความเสี่ยงด้านการเมืองและปัญหากรณีมาบตาพุด อาจยังกดดันการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ ยังต้องจับตาท่าทีของ ธปท.ที่อาจเริ่มส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอาจกระตุ้นให้ต้นทุนการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ดีดตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์
กระนั้นก็ดี แม้ว่าต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจมีโอกาสจะขยับขึ้นในปีนี้ แต่หากเกิดขึ้นในจังหวะที่เศรษฐกิจทยอยปรับตัวดีขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นดังกล่าวก็น่าจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีรายรับที่เติบโตขึ้น เพียงพอที่จะชดเชยต้นทุนส่วนเพิ่มดังกล่าวได้ อันจะช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมสามารถประคองโมเมนตัมการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องเช่นกัน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น