ในช่วงบ่ายวันที่ 10 มีนาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ไว้ที่ 1.25% ตามเดิม ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทั้งนี้ แม้กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม แต่นัยสำคัญจากแถลงการณ์หลังการประชุมในรอบนี้ สะท้อนให้เห็นว่า กนง.มีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น พร้อมกับระบุว่า ;ความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง ทำให้ความจำเป็นที่ต้องมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษเช่นในปัจจุบันได้ลดน้อยลงไปมาก” ซึ่งถ้อยแถลงนี้ นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นแล้ว
แม้ว่าจังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะเกิดขึ้นชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 เป็นอย่างเร็ว หากสถานการณ์การเมืองผ่านไปได้โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างมั่นคงมากขึ้น และจากประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย บ่งชี้ว่า แรงกดดันต่อแนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจเพิ่มมากขึ้นเมื่อการขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายไตรมาส 2/2553 เข้าสู่ช่วงไตรมาส 3/2553 ซึ่งก็จะทำให้มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงเวลานั้น อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
กระนั้นก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.น่าที่จะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เพื่อปรับจุดยืนนโยบายการเงินจากระดับที่มีความ ;ผ่อนคลายเป็นพิเศษ” ให้เป็นระดับที่ ;เป็นปกติ” มากขึ้น ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายๆ ประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย อาจถูกปรับขึ้นก่อนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ทำให้คาดว่า ตลาดการเงินก็อาจจะต้องมีการทยอยปรับตัวรับการคาดการณ์วัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวในระยะข้างหน้าด้วยเช่นกัน และนั่นก็เป็นนัยว่า อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ไทยอาจเริ่มขยับสูงขึ้น พร้อมๆ ไปกับการโน้มแข็งค่าของค่าเงินบาท ในทิศทางที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอื่นๆ ในเอเชีย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น